วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

บุญกับความโลภ

"..พระพุทธเจ้าท่าน ว่าอย่างนี้....
การให้ทานแก่คนที่มีศีลไม่บริสุทธิ์ ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่ผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ครั้งหนึ่ง
การให้ทานแก่ท่านผู้มีศีลบริสุทธิ์ ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่พระโสดาปัตติมรรคครั้งหนึ่ง
การให้ทานแก่พระโสดาปัตติมรรค ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่พระโสดาปัตติผลครั้งหนึ่ง
การให้ทานแก่พระโสดาปัตติผล ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่พระสกิทาคามีมรรคครั้งหนึ่ง
การให้ทานแก่พระสกิทาคามีมรรค ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่พระสกิทาคามีผลครั้งหนึ่ง
การให้ทานแก่พระสกิทาคามีผล ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่พระอนาคามีมรรคครั้งหนึ่ง
การให้ทานแก่พระอนาคามีมรรค ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่พรอนาคามีผลครั้งหนึ่ง
การให้ทานแพรอนาคามีผล ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับให้ทานแก่พระอรหัตมรรคครั้งหนึ่ง
ถวายทานแก่พระอรหัตมรรค ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานแก่พระอรหันต์ครั้งหนึ่ง
ถวายทานแก่พระอรหัตผล ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าครั้งหนึ่ง
ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานแก่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งหนึ่ง
ถวายทานแก่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐๐ มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทานครั้งหนึ่ง

ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทานครั้งหนึ่ง
สร้างวิหารทาน 100 ครั้ง ไม่เท่ากับให้ธรรมะเป็นทาน 1 ครั้ง

ขอบคุณ siamsouth

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

บ้านประทับใจ (บ้านเสาร้อยต้น)

บ้านประทับใจ (บ้านเสาร้อยต้น)
บ้านประทับใจ

บ้านประทับใจ

เป็นบ้านไม้สักทั้งหลัง ผู้เป็นเจ้าของบ้าน คือ คุณพ่อกิจจา ชัยวัณณคุปต์
ซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว เมื่อวันที่ 7 มิถุนายม 2527 ด้วยดรคเบาหวาน
โรคหัวใจ ปัจจุบัน คุณแม่ลำยอง ชัยวัณณคุปต์ ภรรยาเป็นผู้ดูแล
และรับผิดชอบสืบต่อมาบ้านประทับใจ เป็นบ้านส่วนบุคคล
ตั้งอยู่ในเนื้อที่ทั้งหมด 34 ไร่ ได้ริเริ่มทำการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515
โดยมีคุณพ่อกิจจา เจ้าของบ้าน เป็นผู้ออกแบบแปลนและตกแต่งบ้านด้วยตัว
ท่านเอง โดยไม่ได้ติดต่อสถานปนิกเลยดังที่ได้อธิบาย ปัญหาการเสาะหาไม้และการก่อสร้างให้ท่านได้ทราบ ตามบทบาทข้าง
ต้นแล้วบ้านประทับใจ มีการปลูกสร้าง และติดเติมมาเรื่อง ๆ ตั้งแต
่ ปี พ.ศ.2515 โดยใช้ไม้สักท่อน ขนาดใหญ่ ตั้งเป็นเสาบ้านจำนวน
ทั่งหมด 130 ต้น ใช้ระยะเวลาก่อสร้างเสร์จสมบูรณ์ เป็นบ้านพักอาศัย
ได้ประมาณ 5 ปี คือ ปี พ.ศ.2519 ก็เป็นที่พำนักพักพิง ของพ่อ ,
แม่ และ ลูกหลาน ปัจจุบันบ้านประทับใจก็ยังคงเป็นบ้านส่วนบุคคล แต่ก็ได้เปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของ จังหวัดแพร่ตามความประสงค์ของท่านที่ได้ติดต่อขอเข้าชมเป็นประจำ โดยมิได้เกี่ยวข้องกับทางราชการและส่วนอื่นใดแต่อย่าง ่ใด ตามที่บาง
ท่านอาจจะเข้าใจแบบแปลนการปลูกสร้างและลักษณะทั่วไป
ของบ้านประทับใจบ้านสร้างเป็นแบบทรงไทย ประยุกต์
หลังคาสูงติดต่อกัน 3 หลัง แต่พื้นต่ำจากระดับของบ้าน หลังคตามีหน้าจั่วประดับด้วยกาแลซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์
บ้านทรงไทย ทางภาคเหนือ

ประตูหน้าบ้านเป็นไม้แผ่นทึบ มีสลักไม้ชั้นในเป็นกลอนประตูอย่างเช่น
สลักบานสมัยอยุธยาหน้า ต่างทางซีกขวาของตัวบ้านเป็นไม้แผ่นทึบ มีสลักเป็นกลอนหน้าต่างฝากระดานใช้ไม้สักกว้างประมาณ 20-24 นิ้ว
แล้วแต่ความ เหมาะสมของสถานที่ เสาบ้านยังลึกลงไปใต้ดินประมาณ 1.2 เมตร แต่ตอนหลังเหรงว่าไม่ที่ยังฝังลงไปในดินจะมีการผุกร่อน เนื่องจากความชื้นของดินและการกัดกินของแมลง คุณพ่อกิจจา
จึงได้ขุดดินใต้ถุงออกไป ลึกประมาณ 1 เมตร และแกะสลักโคน เสา เทปูนลาดพื้นอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ชั้นล่างของบ้าน บางส่วนจะจัดทำเป็นโชว์รูม และที่จำหน่ายสินค้าเพื่อเป็นของที่ระลึก เมื่อท่านได้ขึ้นมาเดินชมบ้านประทับใจ แล้วจะรู้สึกว่าตัวบ้านมีความกว้างใหญ่มาก โดยเฉพาะตัวบ้านนั้นมีเนื้อท
ี่ประมาณ 1 ไร่ 3 งานเศษ ประกอบด้วย ห้องพักส่วน ตัว ชานมะปรางซึ่งเป็นชานนั่งเล่นที่มีร่มของต้นมะปรางประดับอยู่มีห้อง
พักรับรองแขกถึง 5 ห้อง ด้านหลังมีชานตะวันสำหรับ นั่งรับแสงแดดในตอนเช้า มีชุดรับแขกแกะสลักที่ทำจากไม้แผ่นเดียวให้ท่านชมตลอดทั่งโต๊ะยาว
ที่ทำจากไม้ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ เหลือจากการทำสัปทานไม้ของ บริทัท เอเซียติ๊ก
บ้านประทับใจ เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างแท้จริง เมื่อประมาณ กลางปี 2528 จนถึงปัจจุบันนี้ ท่านที่ได้เข้าชมหากมีข้อข้อง ใจอันหนึ่งอันใด เรายินดีชี้แนะให้รายละเอียดแก่ท่าน ในฐานะเจ้าของบ้านประทับใจต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยถ้าหากว่า การต้อนรับมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งขาดตกบกพร่อง

ขอบคุณข้อมูลจาก phrae.go.th คนแพร่

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เมืองแพร่ แห่ระเบิด

ตำนานเรื่อง “เมืองแพร่ แห่ระเบิด”
โดยนาย ณรงค์จัน ทรางกรู ผู้เขียน/พิมพ์ เผยแพร่
เมื่อประมาณ ๔๐ กว่าปีมาแล้ว (พ.ศ.๒๕๐๔ - ๒๕๐๘) ผม (นายณรงค์ จันทรางกรู) ไปทำงานที่เมืองน่าน ทันทีที่เดินทางถึงที่ทำงาน ถูกทักทายเชิงล้อเลียนว่า “เมืองแพร่แห่ระเบิด” และถูกทักทายเสมอเมื่อพบปะผู้คนในท้องถิ่น ผมก็ไม่รู้ความหมาย ได้แต่หัวเราะแหะๆล่าสุดเมื่อ ๒-๓ เดือนมานี้ (พ.ศ.๒๕๕๒) ผมมีเรื่องราวที่ต้องคิดต่อประสานงานกับคนเมืองเชียงใหม่ (สุภาพสตรี) ทั้งๆที่เคยพบหน้ากันครั้งแรก คำทักทายของเขาก็คือ “เมืองแพร่แห่ระเบิด” ผมจึงเกิดความคิดว่าจะต้องศึกษา ค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ได้ ว่ามันมีความเป็นมาอย่างไร หมายความว่าอย่างไร หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆก็รู้สึกสงสารคนรุ่นลูก รุ่นหลาน เกรงว่าเขาจะได้รับความอับอายเกิดปมด้อยที่เกิดมาเป็นคนเมืองแพร่ เป็นตัวตลกที่ถูกทักทายเชิงล้อเลียนอยู่เสมอเช่นนี้ จึงเริ่มการดำเนินสืบเสาะ สอบถามบุคคลทั่วๆไปจนทราบว่า เรื่อนี้มันเกิดขึ้นในท้องที่ อ.ลอง จ.แพร่ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบ ๖๕ ปีมาแล้ว ผมจึงได้ไปพบพี่อั๋น หรือ คุณสุรินทร์ โสภารัตนานันท์ อดีตสจ.หลายสมัย และอดีตเสรีไทยแพร่ บ้านเดิมอยู่หนองม่วงไข่ ปัจจุบันอยู่ที่บ้านตรงข้ามสนามกีฬา อ.ลอง จ.แพร่ เป็นผู้รู้เรื่องนี้ดี จึงได้พาพบไปพบใครต่อใครหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และอยู่ในเหตุการณ์กับเรื่องนี้เพื่อสอบถามเรื่องราวความเป็นมาอย่างไรแล้ว นำเรื่องราวนั้นมาปะติดปะต่อเป็นเรื่องใหม่ เพื่อร่ายต่อความเข้าใจและลำดับเหตุการณ์ได้ถูกต้องบุคคลที่คุณสุรินทร์ พาผมไปพบมีตัวตน และที่อยู่ชัดเจน อยู่ในเหตุการณ์จริงไม่ใช่ฟังเขาเล่าต่อมาอีกที ได้แก่
๑. พระสยุท์สากล อติพัทโท เจ้าอาวาสวัดแม่ลานเหนือ ต.ห้วยอ้อ อ.ลอง จ.แพร่
๒. นายสม ไชยแก้ว บ้านเลขที่ ๖๙ หมู่ ๙ ต.ห้วยอ้อ อ.ลอง จ.แพร่
๓. นายสมาน หมื่นขัน บ้านเลขที่ ๙๒/๖ หมู่ ๔ แม่ลานพัฒนา ต.ห้วยอ้อ
บุคคล ทั้ง 3 ต่างเล่าให้ฟังว่า แรกเริ่มเดิมที่ นายหลง มโนมูล คนงานรถไฟสถานีแก่งหลวงได้ไปพบซากระเบิดที่ทิ้งจากเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธ มิตร ที่นำระเบิดมาทิ้งเพื่อทำลายสะพานรถไฟข้ามน้ำแม่ต้า (อยู่ระหว่างสถานีรถไฟเด่นชัย อ.เด่นชัย กับสถานีรถไฟบ้านปิน อ.ลอง) เพื่อสกัดการเดินทางของญี่ปุ่นเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ ๒ (ปีพ.ศ.๒๔๘๔ - ๒๔๘๘) เป็นคนแรก จึงได้มาบอกนายสมาน หมื่นขัน ทราบ นายสมานฯจึงได้ไปดู และขอความช่วยเหลือจากคนงานรถไฟสถานีรถไฟแก่งหลวงที่อยู่ใกล้เคียง ได้แก่ นายชุ่ม ขันแก้ว นายชัยวัฒน์ พึ่งพองนายพินิจ สุทธิสุข นายย้าย ปัญญาทอง ให้มาช่วยกันขุดขึ้นมาจากหลุมทรายที่ถับถมอยู่มีจำนวน ๒ ลูก (มีขนาดความโตกว่าถังแก๊สชนิดยาว) และทำการถอดชะนวนระเบิดออกแล้วใช้เลื่อยตัดเหล็กตัดส่วนหางของลูกระเบิดควัก เอาเผ่า (ดินระเบิด) ออกแล้วเอาเผ่า (ดินระเบิด) ที่ควักออกมาได้นำไปประกอบสร้างระเบิดลูกเล็กๆขึ้นใหม่ได้หลายลูก แล้วเอาไประเบิดปลาที่แม่น้ำยม (ห้วยแม่ต้าไหลลงสู่แม่น้ำยมใกล้แก่งหลวง) ได้ปลามากินมากมายแล้วช่วยกันยกขึ้นใส่ล้อ (เกวียน) ลากมาพักไว้ที่บ้านแม่ลู้ ต. บ้านปิน ความหนักของลูกระเบิดที่นำขึ้นบรรทุกล้อ(เกวียน)ถึงกับทำให้ซ้างล้อ(คานของ เกวียน) หักต้องเปลี่ยนใหม่ (และวันที่เปิดพิพิธภัณฑ์เสรีไทยแพร่ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๐ ทางพิพิธภัณฑ์ได้ขอยืมลูกระเบิดของจริงจากวัดนาตุ้มนำมาแสดงโชว์ต้องใช้คน งานถึง ๖ คนจึงยกขึ้นใส่ปิ๊กอัพได้ นับว่ามีน้ำหนักมากคงจะหลายร้อยกิโลกรัม) ส่วนระเบิดลูกที่ ๓ ช่วยกันขุดด้วยแรงคนไม่ได้เพราะจมอยู่ในหลุมทรายลึกมาก จึงได้ไปตามนายบุญมา อินปันดี ซึ่งเป็นเจ้าของช้างลากไม้ในป่าบริเวณใกล้เคียง ให้นำช้างมาลากลูกระเบิดขึ้นจากหลุมได้ทำการถอดชนวน ตัดหาง และควักเอาเผ่า(ดินระเบิด)ออกบรรทุก(ล้อเกวียน) มาสบทบกันอีก ๒ ลูกที่นำออกมาก่อนแล้วที่บ้านแม่ลู้ ต. บ้านปิน จากนั้นก็ลากโดยบรรทุกล้อ(เกวียน) มุ่งเข้าสู่หมู่บ้าน ชาวบ้านสองข้างทางทราบว่าข่าว และเห็นล้อ(เกวียน)บรรทุกลูกระเบิดตามกันมา ๓ คันต่างก็เดินตามกันมา เป็นขบวนยาว ผ่านหน้าบ้านผู้ใดต่างก็เดินเข้ามาสบทบเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยจนมาถึงบ้านแม่ ลานเหนือใกล้วัด ชาวบ้านยิ่งออกมาดูกันมากขึ้น ชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่อยู่ใกล้วัดได้นำฆ้อง -กลองยาว-ฉิ่ง-ฉาบออกมาต้อนรับขบวนแห่เหมือนกันต้อนรับขบวนของ กฐิน หรือผ้าป่าทำนองนั้นแล้วแห่เข้าวัดทำการถวายลูกระเบิดให้เป็นสมบัติของวัด เพื่อเป็นระฆัง ส่วนระเบิดลูกที่ ๒ ขบวนแห่นำไปถวายที่วัดศรีดอนคำ ต.ห้วยอ้อ สำหรับระเบิดลูกที่ ๓ ขบวนแห่นำไปถวายวัดนาตุ้ม ต.บ่อเหล็กลอง ซึ่งเป็นบ้านเดิมของนางจันทร์ฯ ผู้เป็นภรรยาของนายบุญมา อินปันดี เจ้าของช้างปัจจุบัน(ปีพ.ศ.๒๕๕๒) ลูกระเบิดลูกที่ ๑ เก็บไว้ที่วัดแม่ลานเหนือ ต.ห้วยอ้อ ลูกระเบิดลูกที่ ๒ เก็บไว้ที่วัดศรีดอนคำ ต.ห้วยอ้อ ส่วนระเบิดลูกที่ ๓ เก็บไว้ที่วัดหน้าตุ้ม ต. บ่อเหล็กลอง ทางวัดได้จัดสร้างหอระฆังสูงไว้รองรับสวยงามมาก(ดังรูปภาพ) ส่วนลูกที่ ๒ ทางวัดยังไม่ได้สร้างหอไว้รองรับ ต่อไปคงจะต้องสร้าง สำหรับระเบิดลูกที่ ๑ เก็บแขวนไว้ใต้ถุนกุฏิ แต่หลังจากมีผู้นิยมเล่นของเก่าชนิดหายากและแปลกๆได้มาขอซื้อโดยเสนอในราคา หนึ่งล้านบาทชาวบ้านจึงเห็นว้ามีราคามากจึงมติว่าไม่ขาย และเกิดหวงแหนเห็นคุณค่า เกรงจะถูกลักขโมย จึงได้สร้างห้องลูกกรงเหล็กดัดล้อมรอบไว้ และต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ต่อไปคงต้องสร้างหอไว้รองรับ ซึ่งที่เกิดจากการเคาะนั้นดังเหมือนเสียงระฆังดังก้องกังวานได้ยินไปไกลมาก ตามเรื่องราวดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นเรื่องที่มาของคำว่า “เมืองแพร่แห่ระเบิด” คนแพร่ที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดแต่อย่างใดแถมยังนำไปใช้ ประโยชน์ได้ถึง ๒ อย่างคืออย่างแรกเอาเฝ่า (ดินระเบิด) ที่ควักออกไปประกอบเป็นระเบิดลูกเล็กๆ ได้อีกหลายลูกแล้วเอาไประเบิดปลาที่แม่น้ำยม ได้ปลามากินเป็นอาหารจำนวนมาก ส่วนประโยชน์ที่ ๒ ได้นำไปใช้เป็นระฆังของวัดได้ถึง ๓วัด หากว่ากองทัพอเมริกันพบว่าชาวบ้านที่ไม่มีความรู้ในเรื่องวัตถุระเบิด สามารถใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น นำเอาอาวุธประสิทธิภาพสูงสุดและดัดแปลงมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่า จะต้องทึ่ง และชื่นชม จึงนับเป็นความภาคภูมิใจของคนเมืองแพร่
ลูก-หลาน คนเมืองแพร่จงยิ้มรับความภาคภูมิใจที่ได้รับความภาคภูมิใจที่ได้รับการ ทักทายเช่นนั้นเมื่อรู้ความจริงแล้วไม่ต้องอับอายหรือเกิดปมด้อยแต่อย่างใด ให้คิดเสียว่าเขาทักทายด้วยความชื่นชมเรื่องนี้ถือเป็นเกียรติประวัติของคน เมืองแพร่ต้องขอขอบคุณเขาด้วยซ้ำ (ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้กรุณาให้ข้อมูลในเรื่องนี้)
สวัสดีครับ
ณรงค์ จันทรางกรู
๑ หมู่ ๗ ถนนแพร่-ลอง
ตำบลป่าแมต อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ๕๔๐๐๐
คนเมืองแพร่ /ผู้เขียนเรียบเรียงเรื่องราว
๐๘๑-๔๘๙๒๑๓๑

ตำนานผีล้านนาตอนผีหัวหลวง

ตำนานผีล้านนาตอนผีหัวหลวง
อันว่าตำราล้านนาว่าด้วยเรื่องผีหัวหลวงนั้นมีมากหลายแหล่ ต่อนี้จักอู่เรื่องผีหัวหลวงล้านนาเกี่ยวกับก๋ารอยู่ของผีหัวหลวง หากผู้ใดสนใจ๋ก็เจิญอ่านเต๊อะว่าดั่งอี้เน้อ….
หากวันใดเมื่อใดผู้คนทั้งหลายจักกระทำพิธีอันเป๋นมังกะละมงคลห้ามเบ่น หน้าหรือหันหน้าไปทางทิศที่ผีหัวหลวงอยู่จักฉิบหาย จักเสียข้าวของเงินคำแต๊แหล่ บ่ว่าจักไปค้าขาย หรือไปเล่นเสี่ยงโชคลาภหื้อจ๋ำจื่อและพิจจารณาเอาเต๊อะ ทิศหรือตางที่ผีหัวหลวงอยู่มีดั่งนี้ว่าอั้น
วันอาติ๊ด(อาทิตย์)ผีหัวหลวงอยู่ปล๋ายไม้ ห้ามแหงนผ่อดูปล๋ายไม้เมื่อยามออกจากบ้าน
วันจั๋น(จันทร์)ผีหัวหลวงอยู่ตางทิศตะวันออกห้ามเตียวตางไปหากิ๋นหรือ นั่งเบ่นหน้าผินหน้าไปทางนี้จักเสียทรัพย์ จักมีอนตะราย(อันตราย)
วันอังการ(อังคาร)ผีหัวหลวงอยู่ตางทิศตะวันตกห้ามเตียวทางหรือเบ่นหน้าไปทิศนี้บ่ดี เล่นก๋ารพนันก็หมดเสี้ยงเงินคำแต๊แหล่
วันปุ๊ด(พุธ)ผีหัวหลวงอยู่ตางทิศหนอากาศหมายว่ามันอยู่ในอากาศหั้นแล ห้ามขึ้นที่สูงจั้กตกมาต๋าย ห้ามเตียวทวนกระแส(อ่านขะแส)ลมวันนี้หากบ่อั้นจักเกิดพินาศเป๋นเสนียดจัญไร แก่ต๋นแล
วันผั้ด(พฤหัสบดี)ผีหัวหลวงอยู่บนฟ้า ห้ามแหงนผ่อฟ้าเวลายามเมื่อออกจากบ้านเกหา(เคหา)จักเป็นเสนียดแก่ต๋น ไปค้าขายก็บ่ได้ดั่งใจ๋ มันแก๋น(อับโชค)บ่มีไผมาซื้อสินค้าสินค้าเคิ้น(เหลือ)เน่าเสี้ยงแล
วันสุ้ก(ศุกร์)ผีหัวหลวงมันอยู่ตางทิศใต้ ห้ามออกบ้านทางทิศใต้หรือไปค้าขายเสี้ยงโชคทางนี้หรือนั่งเบ่นหน้าไปทิศใต้ จั่กบ่จ๋ำเริญแหล่
วันเสา(เสาร์)ผีหัวหลวงอยู่ทิศเหนือห้ามไปแอ่วแหวงทางนี้หรือนั่งเบ่น หน้าหันหน้าไปทิศเหนือจั่กเป๋นตุ๊ก(ทุกข์) เสี่ยงโชคลาภก็บ่ได้แก๋นแต๊ๆว่าสะนี้แล….
มีเจี้ยเกี่ยวกับเรื่องแก๋นหรืออับโชคว่า
นายมอยมันเลี้ยงไก่ชนไว้ตั๋วนึ่ง เมื่อนำไปจาม(ทดลองชน)ก็ชนะทุกครั้ง ชนดี ลวดลายเก่งมีทั้งสอดทั้งแทง แต่เมื่อนำไปชนเล่นเงินเมื่อใดไก่เจ้ากรรมตัวนี้เป็นอันว่าก๊าน(แพ้)ทุกทีไป เพื่อนๆจึงบอกนายมอยว่าไก่มันแก๋นคือไก่บ่กิ๋นเงินหรือชนะ นายมอยจึงฆ่าแล้วเอาเนื้อไก่มาห่อหนึ้ง(ทำห่อหมก)ให้แม่บ้านนำห่อหนึ้งไปขาย แม่บ้านนำห่อหนึ้งเนื้อไก่แก๋นไปขายที่ตลาดนานเท่านานก็ไม่มีใครซื้อจึงนำ กลับมาบ้านเผอิญระหว่างทางมีคนขอซื้อห่อหนึ้งทั้งหมด แต่พอขอรับเงินคนซื้อกลับบอกว่า ” ขอแป๊ะก่อนเต๊อะ” (ขอเชื่อไว้ก่อนยังไม่มีเงิน)..แม่บ้านจึงเอ่ยว่า ” เอ้อไก่แก๋นแต๊ว่า จนก็บ่ได้เงิน แป๋งห่อหนึ้งก็ยังโดนแป๊ะ”(ชนก็ไม่ได้เงินเอาเนื้อทำห่อหมกขายก็ยังขอเชื่อ ไว้ก่อน) ถะแลม..ถะแลมๆๆๆๆ
เรื่องผีหัวหลวงก็จบลงเท่านี้แล…ลุงหนานก็ขอลาไปก่อนแลนายเฮย
ตำนานผีล้านนาตอน”ผีดอกงิ้วแดง”
อย่างเข้าเดือนเจ็ดในล้านนาราวปี พ.ศ. 2512 คืนเดือนเสี้ยวแหว่งดวงด้านตะวันออก บรรยากาศชวนให้คนชอบหาปลาออกไปทอดแหตามริมฝั่งแม่น้ำปิง..
สองสหายพากันสะพายแห…ในมือถือก๋งสะติก(หนังสะติ๊ก)อาศัยแสงเดือนเสี้ยว เดินเลาะไปตามฝั่งแม่น้ำปิง พลันเห็นหนูพุกตัวโตกำลังกัดกินรากเหง้ากอต้นอ้ออย่างเอร็ดอร่อย..
“เฮ้ย..อ้ายจั๋น นั่นหนูพุก”…ยังไม่ทันลดเสียงแต่มืออ้ายจั๋นมันไวกว่ายิงหนังสะติกโพละ เข้าให้..เจ้าหนูพุกตัวโตหล่นลงน้ำพร้อมกอรากอ้อ…
“ตายแน่นอน..”เสียงร้องสองสหายพร้อมกัน ขณะที่วิ่งเหยาะเข้าหาเป้าหมายร่องรอยน้ำกระเพื่อมที่หนูตกลงในน้ำ..
ระดับน้ำเพียงท่วมหลังเท้า แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของหนู น้ำที่กระเพื่อมระรอกกลับสงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น….
ซ่า…ซ่า….ทรายเม็ดใหญ่น้อยถูกขว้างสาดเข้าใส่ถูกสองสหาย แต่เมื่อถูกตัวสองสหายตกลงน้ำเม็ดทรายกลายเป็นดอกงิ้วแดง..
ทั้งอ้ายจั๋นและอ้ายดีสองสหายรู้ทันทีตามประสบการณ์ที่เคยผ่านร้อนหนาวมา ว่าผีเอากูแน่แล้ว รีบระนึก(ร่าย)พระคาถาชื่อว่า “ช้างน้ำน้อย”ที่ผู้คนหากินทางน้ำนับถือกันว่า” โอมจ๊างน้อยงาแดงแตงแม่น จ๊างน้อยแกว่นแตงเงา…” เท่านี้เองห่าฝนทรายที่ซัดสาดก็หยุดเหลือแต่ดอกงิ้วแดงลอยฟ่อนอยู่บนผิว น้ำ….
สองสหายต่างพากันหยุดหาปลาและกลับบ้านไปเล่าเหตุการณ์ให้ชาวบ้านที่กำลังนั่งล้อมวงจักตอกในหมู่บ้านฟัง..
….รุ่งเช้าชาวบ้านเห็นผู้คนหมู่บ้านฝั่งตรงกันข้ามพากันลงงมหาศพหนุ่ม คนหนึ่งที่ออกจากบ้านไปหาปลาแต่ไม่กลับบ้านตลอดคืน ..พบศพจมอยู่ในตมริมเกาะกลางแม่น้ำปิงเพราะพี่แกออกมาหาปลาเกิดเป็นลมชักฟุบ ลงในน้ำตายใกล้กับท่าน้ำที่ผีเอาดอกงิ้วแดงขว้างปาสองสหายนั่นเอง
เหตุการณ์ผีขว้างทรายก็จบลงเพียงเท่านี้ก่อนแลนายเฮย…
ตำนานผีล้านนาตอนนกผีสั่งสรีสวัสดีหมู่เฮายามใกล้ปี๋ใหม่เมือง..แถมบ่เมินผีปู่สังขานต์ก็จะล่องคนเฮา จะแก่ไปแถมปี๋หนึ้งหลังจากวันผัดที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๒ เวลา ๐๕. ๐๖ น.ซึ่งเป๋นวันพญาวันปู๊นก่อนเน้อจะเป็นเปิ้งงัว(เป้า)ขณะนี้วันที่ 1 เมษายน 2552 กำลังเป๋นปี๋หนู(ไจ้)ไปจนถึงวันปุ๊ดที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๒…
วกมาเรื่องผีๆแถมเมาะคิดถึงพวกเรามากๆ..มีเวลาก็มานั่งเล่าสู่กันฟัง เพราะไปเมืองสามหมอกกับเพื่อนๆขณะที่นั่งรถไปไอ้เพื่อนมันก็เล่าเรื่องที่ เขาพบด้วยตนเอง ตามรายทางแต่ละแห่งที่เคยมีเหตุการณ์ อย่างเช่นตอนที่ผ่านป่าเขาเล่าว่าตรงนี้แหละมาสองครั้ง เจ้านกผีมันก็มาทำเอาตกใจสองครั้งเหมือนดั่งแกล้ง
ไอ้ตัวผมก็เลยบอกว่าเออนั่นแหละนายเฮยเขาว่ากันคือนกผี เพราะเรามาว่าความให้แก่เจ้าทุกข์ที่มีเรื่องฟ้องร้องกันกับคนชาวดอย คนพวกนี้เขามีคุณไสย์ที่เรียกกันภาษาล้านนาว่าการตู้
ตู้คือการเสกสิ่งของให้เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วบินไปยังคนที่เป็นศัตรูคู่คดีความ
ใส่ คือการเสกสิ่งของใส่ในอาหาร น้ำให้ศัตรูพ่ายแพ้หรือเป็นอันตรายตามที่ต้องการ
เจ้าเพื่อนมันเลยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเขาว่า ครั้งแรกมาว่าความพาเอาเจ้าทุกข์นั่งมาด้วย พอผ่านโค้งเกิดมีนกตัวใหญ่มันบินเข้าโถมใส่ด้านหน้ารถดังสนั่นทุกคนตกใจ แต่พอหยุดรถลงดูก็ไม่เห็นมีอะไร เจ้านกตัวนั้นก็ไม่รู้จักว่ามันเป็นนกอะไร จะว่านกแร้งก็ไม่ใช่ นกยูงก็ไม่มี แต่ก็นั่นแหละเราก็นึกกันว่ามันเป็นเหตุที่สุดวิสัยก็พากันขับรถต่อไปจนว่า ความเสร็จ ศาลสั่งนัดกันวันใหม่
ถึงวันนัดก็พากันมาตามเส้นทางเดิม พอผ่านป่าใจนึกอยากจะเปิดกระจกนั่งขับรถกินลม แต่ก็ลืมไปว่าครั้งก่อนใกล้ๆกันนี่แหละเคยมีนกบินลงชนกระจกหน้ารถ พอเปิดกระจกขับไปราวสองสามกิโลจู่ๆนกเจ้ากรรมบินเข้ามาขี้ราดลงตัก ทำเอาพวกเราตกใจ แต่นกเจ้ากรรมมันก็บินเล็ดรอดออกจากหน้าต่างรถออกไปหายแส้บหายสอย ต้องจอดรถลงล้างขี้นกในห้วยข้างถนน เสร็จแล้วก็ขับรถขึ้นศาลว่าความกันต่อไป
เหตุการณ์สองครั้งทำให้ต้องสืบเสาะให้รู้ว่ามันไม่ใช่นกธรรมดาแน่ คราวนี้แหละจึงพาคนที่มีคาถาอาคมมาด้วย จึงโล่งลอดปลอดตลอดทางเจ้านกผีสั่งไม่เห็นบินมารบกวน หรือว่าฝ่ายคดีความตรงกันข้ามไม่กล้าลองของ แต่ที่แน่ๆก็ชนะคดีความกันไปตามหวัง
ตำนานผีล้านนาตอนมีดแหกผีไอสูร
ก่อนที่จะเล่าเรื่องมีดแหกผีไอสูรก็ต้องขอสุมาอภัยพวกเราทั้งหลาย ละเว้นเป็นเวลาเนิ่นนานที่จะมาเล่าเรื่องผีๆ…
เพราะลุงหนานไปแสวงบุญที่เมืองเชียงตุง ไปถวายทานผ้าป่า ร่วมงานปอยหลวงฉลองพระวิหารแบบไทเขิน เพิ่งกลับมาก็เลยรีบมาเล่าขานตำนานผีล้านนาต่อจากเมื่อก่อน
อันว่าไอสูร หรือที่ผู้คนทั่วไปเรียกกันว่ารามสูรนั่นแหละครับ แต่ผู้คนล้านนาบางท้องถิ่นเรียกรามสูรนี้ว่าผีไอสูรเพราะมันไม่มีตัวตนเพียง แต่จู่ๆก็มีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมา ก็เลยเหมาเอาว่าเป็นเรื่องของผีๆๆๆ ว่างั้นเถอะ
พวกเราคงได้เรียนเรื่องฟ้าร้องฟ้าผ่ากันมาแล้วว่า ฟ้าผ่าจะมีกระแสไฟฟ้าจากฟ้าลงมาสู่ดิน หากมันผ่าที่ใดที่นั่นก็จะต้องเสียหายแตกกระจายปี้ป่นแหลกลานเป็นแถบๆ แต่บางครั้งกระแสไฟฟ้ามันพุ่งจากดินขึ้นไปสู่ก้อนเมฆ อันนี้แหละมันกลับข้างกัน ทำให้กระแสไฟฟ้าจากดินสู่เบื้องบนไปปะทะกับสิ่งของใดๆ มันต้องแหลกลานไปเช่นกัน โดยเฉพาะกระแสไฟฟ้าหรือที่รามสูรยิงขึ้นฟ้านั้นผ่านต้นไม้ใด ย่อมทำให้ต้นไม้หรือบางครั้งอาจเป็นสัตว์ เช่น วัว ควาย ฯลฯ.ต้องเสียชีวิตลงฉับพลัน ต้นไม้ หรือสัตว์ที่เสียชีวิตเพราะไอสูรยิงนี้แหละ พ่อหมอ แม่หมอพื้นบ้านจะนำเอามาทำมีดแหก คือเอามีดมาลากครูดเบาๆตามผิวหนัง บวมพอง หรือเป็นอาการที่มีโรคใดโรคหนึ่ง
เมื่อทำรูปมีดแล้ว พ่อหมอ แม่หมอจะเขียนพระคาถาลงไปในมีด ในวันเดือนดับ (แรม 14หรือ 15 ค่ำ)เพราะถือว่ามันดับพิษ ภัย โรคร้ายต่างๆนั่นเอง
การเขียนพระคาถาลงบนมีดหมอหรือมีดแหก จะขึ้นต้นด้วยคำว่า..สะ หะ วะ…….. ลงท้ายด้วยคำว่า ยะ…เมื่อเขียนเสร็จจะนำมีดหมอหรือมีดแหกไปไว้ที่หิ้งผีครู เมื่อมีคนไข้มาขอรักษาพ่อหมอ หรือแม่หมอจะนำมีดแหกมาเสกเป่า แล้วนำมีดกดลงที่จะแหก แล้วลากมีดลงมาตามพิธีกรรมเพื่อแหกดันเอาพิษร้ายออกจากร่างกาย คนไข้ก็จะหายจากอาการไข้ด้วยมีดแหกผีไอสูร
นี่ก็เป็นวิธีการหนึ่งของการรักษาโรคด้วยความเชื่อเรื่องผีของผู้คนบางท้องถิ่นในล้านนา
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://gotoknow.org/blog/nhanphromma?page=3
ภาพ จาก google

วีรบุรุษเมืองแป้ [พระยาไชยบูรณ์]

พระยาไชยบูรณ์ (ทองอยู่ สุวรรณบาตร)
ผู้สร้างวีรกรรรมที่เมืองแพร่

พระยาไชยบูรณ์ (ทองอยู่) เป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองแพร่คนแรก และเป็นผู้มีความกล้าหาญ ความจงรักภักดี และความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่การงาน พระยาไชยบูรณ์ (ทองอยู่) ได้ถูกพวกเงี้ยวซึ่งก่อการจลาจลขึ้นที่เมืองแพร่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕ ฆ่าตายที่บ้านร่องแวงอย่างทารุณ ต่อมาทางรัฐบาลสยามได้ปราบปรามพวกก่อการจลาจลเงี้ยวสงบราบคาบดีแล้ว ก็ได้สร้างอนุสาวรีย์พระยาไชยบูรณ์ไว้ ณ หลักกิโลเมตรที่ ๔ ถนนสาย แพร่ – น่าน ห่างจากศาลากลางจังหวัดแพร่ ไปทางอำเภอสูงเม่น เพื่อเทิดทูนวีรกรรมของท่านผู้นี้ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาราชฤทธานนท์พหลภักดี”


ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ (ร.ศ. ๑๑๖) ได้ทรงเปลี่ยนการปกครองจากแบบเจ้าผู้ครองนครมาเป็นแบบเทศาภิบาล โดยลดอำนาจเจ้าผู้ครองนครลง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าหลวงกำกับเมืองมาช่วยราชการแผ่นดิน ที่เมืองแพร่ในขณะนั้นเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์อุดร (น้อยเทพวงศ์) เป็นเจ้าผู้ครองนคร และโปรดเกล้าฯ ให้พระยาไชยบูรณ์ (ทองอยู่) มาเป็นข้าหลวงกำกับเมืองแพร่เป็นคนแรก ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐

พระยาไชยบูรณ์มาเป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองแพร่จนถึง พ.ศ. ๒๔๔๕ (ร.ศ. ๑๒๑) ได้มีพวกเงี้ยว (ไตใหญ่) ซึ่งอยู่ในบังคับอังกฤษ และได้เข้ามาอาศัยทำมาหากินอยู่ในเมืองแพร่พวกหนึ่ง กับพวกที่มาจากเชียงตุงพวกหนึ่ง ได้สมคบกันก่อการจลาจล และได้จับข้าหลวงกำกับราชการเมืองแพร่ (คือ พระยาไชยบูรณ์) ตำรวจ และราษฎร์ชาวไทย (ภาคกลาง) ทั้งชายหญิงและเด็กฆ่าเสียอย่างทารุณ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎา รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๑ เวลาเช้า (ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๔๕)

พวกก่อการจลาจลเงี้ยว อันมีพะกาหม่อม สล่าโป่ซาย จองแข่เป็นหัวหน้า คุมพรรคพวกประมาณ ๕๐๐ คนเศษ เข้าตีโรงตำรวจนอกประตูไชย เวลา ๑ โมงเช้า ขึ้นไปบนโรงพักไล่ฟันตำรวจแตกตื่นหนีไปหมด หาได้ทันต่อสู้ไม่ เพราะไม่ทันรู้ตัว ตำรวจภูธรถูกฟัน ๔ คน แต่หาถึงแก่ชีวิตไม่ มีแต่อำแดงคำภรรยาของนายร้อยตรีตาด ได้เอาปืน ๖ นัดยิงพวกโจรเงี้ยว แต่หาเป็นอันตรายอย่างใดไม่ พวกโจรเงี้ยวจึงเอาดาบไล่ฟันอำแดงคำกับบุตรเลี้ยงตายด้วยกันทั้งคู่ แล้วพวกโจรเงี้ยวก็พากันเก็บเอาอาวุธปืนของหลวง แล้วพากันเข้าไปในเมือง ผ่านทางประตูไชยเข้าไป เอาปืนยิงเข้าไปในโรงไปรษณีย์โทรเลข เก็บเอาเครื่องใช้และทุบเครื่องโทรเลข โทรศัพท์ หม้อแบตเตอรี่ สรรพหนังสือต่างๆ และบัญชี ทำลายสิ้น นายถมยา จีนบ๋าพนักงานไปรษณีย์โทรเลขหลบหนีไปได้ กระสุนปืนที่พวกโจรเงี้ยวยิงไปถูกจีนติดซึ่งขายหมูอยู่ในตลาดหลวงตายคนหนึ่ง

ต่อจากนั้น พวกโจรเงี้ยวก็ยิงเข้าไปในบ้านพระยาราชฤทธานนท์ข้าหลวงหลายสิบนัด กระสุนปืนถูกบ่าวข้าหลวงตาย ๑ คน บาดเจ็บไปหลายคน ส่วนพระยาฤทธานนท์ข้าหลวงและบุตรภรรยาหลบหนีไปได้ พวกโจรเงี้ยวเข้าไปเก็บเอาทรัพย์สิ่งของไปหมด แล้วพวกโจรเงี้ยวก็ยิงเข้าไปที่ที่ว่าการจังหวัดแพร่ แล้วขึ้นไปเอาขวานผ่าง้างกำปั่น เก็บเอาเงินหลวงไปประมาณ ๓๙,๐๐๐ บาท ทำลายของของเครื่องใช้ตลอดจนเอกสารต่างๆ เสียหายไปหมด แล้วพวกโจรเงี้ยวก็คุมพรรคพวกตั้งอยู่ที่ที่ว่าการจังหวัดแพร่ บางพวกก็พากันยิงเข้าไปที่ศาลยุติธรรม (ศาลจังหวัดแพร่) และยิงเข้าไปที่บ้านของนายเฟื้องผู้พิพากษา ผู้พิพากษาหลบหนีไปได้ พวกโจรเงี้ยวเข้าไปเก็บเอาทรัพย์สิ่งของไปหมดสิ้น แล้วพวกโจรเงี้ยวเข้าไปที่บ้านพะทำมะรง ๆ หนีไป พวกโจรเงี้ยวก็เปิดเอาพวกนักโทษออกจากเรือนจำ เอาขวานผ่าง้างเอาโซ่ตรวนออก พวกนักโทษเลยเข้าสมทบกับพวกโจรเงี้ยว เที่ยวปล้นพวกข้าราชการ มีบ้านหลวงวิมล นายแขวง (คือนายอำเภอ) เก็บเอาทรัพย์สิ่งของไปแบ่งกัน ในวันเดียวกันนั้น เวลาราวบ่าย ๓ โมง พวกโจรเงี้ยวได้ไปคุมเอาตัวเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ และเจ้านายอื่นๆ มีเจ้าราชวงศ์ เจ้าบุรี เจ้าราชบุตร พระวังซ้าย พะวิไชยราชา พระคำลือ พระไชยสงคราม พระเมืองไชย นายน้อยสวน ไปยังสนามที่ว่าการจังหวัดแพร่ แล้วพวกโจรเงี้ยว ซึ่งมีนายร้อยสล่าโป่ซายเห็ดแมน นายร้อยพะกาหม่อง นายร้อยปู่ออ นายร้อยจองแข่ นายร้อยจองติ นายร้อยจีนนะเห็นแมน นายร้อยจะก่า ปู่จอตังอู่ นายร้อยหม่อมโม นายร้อยส่างมน นายร้อยจองทุน นายร้อยจองคำ เป็นหัวหน้า ได้บังคับให้เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ และเจ้านยที่จับกุมตัวไปนั้น ทำหนังสือปฏิญาณต่อกันไว้ มีความว่า

๑. เดิมเมื่อปี ร.ศ. ๑๑๘ (พ.ศ. ๒๔๔๒) มีพระยาราชฤทธานนท์มาเป็นข้าหลวงประจำเมืองแพร่ ได้ทำการกดขี่ข่มเหงบรรดาพวกเจ้านายแลราษฎรแลพวกลูกค้า มีพม่า ต้องซู่ เงี้ยว ที่เข้ามาอาศัยแขวงเมือง ได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก

๒. ครั้นถึงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ศกนี้ (พ.ศ. ๒๔๔๕ เวลาเช้า ๑ โมง มีพวกลูกค้าทั้งหลายได้คบคิดกันมาปราบปรามกำจัดพวกข้าหลวงไทยแตกหนีไปจาก เมืองแล้ว

๓. เจ้านายกรมการ พร้อมด้วยลูกค้า ได้พร้อมใจกันมอบบ้านเวนเมืองคืนถวายไว้กับเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ ให้เป็นเจ้าปกครองบ้านเมืองต่อไป

๔. ต่อไปเมื่อหน้าถ้าบังเกิดศึกทางฝ่ายใดขึ้นมาเวลาใดก็ดี เจ้านายกรมการและลูกค้าที่มีชื่ออยู่ท้ายหนังสือนี้ ต้องช่วยกันปราบปรามข้าศึกศัตรูด้วยเต็มกำลังทั้งสองฝ่าย

เมื่อทำหนังสือสัญญาดังกล่าวแล้ว ก็มีการดื่มน้ำสบถทำสัตย์สาบานต่อกัน แล้วพวกโจรเงี้ยวก็แบ่งกำลังติดตามพระยาราชฤทธานนท์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และข้าราชการคนไทย (ภาคกลาง) ไป สำหรับคนพื้นเมืองพวกโจรเงี้ยวไม่ทำอันตราย เจ้านายเมืองแพร่ที่เข้าด้วยพวกโจรเงี้ยว มีเจ้าน้อยไจลังกา ส่วนเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์และเจ้านายอื่นๆ ที่ปรากฏนามนั้นได้ให้การต่อ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย (ฐานันดรศักดิ์และตำแหน่งในขณะนั้น) ว่าถูกพวกโจรเงี้ยวบังคับ จึงจำใจต้องทำสัญญากับพวกโจรเงี้ยวด้วยความรักชีวิต

ฝ่ายพระยาฤทธานนท์ ข้าหลวงกำกับราชการเมืองแพร่นั้น เมื่อพวกโจรเงี้ยวระดมยิงโรงพัก ก็ได้ใช้ปืนยิงต่อสู้หลายนัด เมื่อเห็นพวกโจรเงี้ยวมีกำลังมากกว่า ก็วิ่งหนีไปทางวัดพระร่วง เพื่อรายงานให้เจ้าหลวงเมืองแพร่ทราบ และขออาวุธและเกณฑ์กำลังคนต่อสู้กับพวกโจรเงี้ยว และได้พบกับขุนพิพิธโกษากรณ์ ข้าหลวงคลัง หลวงวิมล ข้าหลวงผู้ช่วย นายสมบุตร สมุห์บัญชีแขวง นายแม้น พนักงานอัยการแพร่ และนายสวัสดิ์ รองเสนาตำแหน่งนา ซึ่งมาหลบซ่อนอยู่ก่อน พระยาราชฤทธานนท์และข้าราชการพวกนั้น ได้วิ่งไปที่คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่อีก เพื่อจะพบเจ้าหลวงและขออาวุธ แต่ไม่พบเจ้าหลวง พบแต่พระยาไชยสงครามและเจ้าราชบุตร ก็ทราบว่าเจ้าหลวงหนีไปอยู่ที่ห้างบอมเบเบอร์ม่า เมื่อไม่พบเจ้าหลวง พระยาราชฤทธานนท์ก็หนีต่อไปอีก โดยมีนายแม้นพนักงานอัยการไปด้วย ส่วนพวกข้าราชการนอกจากนี้ ถูกพวกโจรเงี้ยวไล่หนีออกไปอีกทางหนึ่ง

พระราชฤทธานนท์จึงให้นายแม้นไปเกณฑ์ราษฎรที่บ้านกาศ เพื่อจะมาต่อสู้พวกโจรเงี้ยว นายแม้นจึงไปยังบ้านกาศ และให้บุตรแคว่น (กำนัน) ไปตามพระกันทคีรี นายแขวง (นายอำเภอ) เมืองแพร่ ซึ่งขณะนั้นไปราชการปักหลักเขตแคว่น (เขตตำบล) ที่บ้านกวาง ปรากฏว่าเกณฑ์ราษฎรได้ประมาณ ๘๐ คน จึงนำมายังเมืองแพร่ เพื่อจะพบกับพระยาราชฤทธานนท์ แต่ไม่พบคงพบแต่นายน้อยขัด นายแคว่น (กำนัน) จึงได้ให้นายน้อยขัดไปที่บ้านพระยาพิไชยราชา เสนาตำแหน่งคลัง เพื่อถามถึงกำลังและที่พักของพวกโจรเงี้ยว พระพิไชยราชาแจ้งว่า อย่าต่อสู้พวกเงี้ยวเลย เพราะเกรงพวกโจรเงี้ยวจะฆ่าเอา ให้รีบหนีเอาตัวรอดเถิด เพราะพวกโจรเงี้ยวจะฆ่าแต่เฉพาะคนไทย (ภาคกลาง) เท่านั้น ส่วนคนพื้นเมืองไม่ทำร้าย พระกันทคีรี นายแม้น และราษฎรที่ถูกเกณฑ์มา ก็มีความท้อถอย ต่างคนต่างก็แยกกันหนีไป โดยไม่ได้การต่อสู้แต่อย่างใด

ฝ่ายพระยาราชฤทธานนท์ เมื่อนายแม้นไปเกณฑ์ราษฎรแล้ว เกรงว่าพวกโจรเงี้ยวจะมาพบเข้า จึงหนีไปยังบ้านร่องกาศ ก็ถูกแคว่น (กำนัน) และแก่บ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) ร่องกาศจับตัวส่งให้พวกโจรเงี้ยว เงี้ยวจึงนำตัวพระยาราชฤทธานนท์ พร้อมกับพลตำรวจคนหนึ่งเข้ามาเมือง แต่พอถึงร่องแวง พวกโจรเงี้ยวก็ฆ่าพลตำรวจเสีย ส่วนพระยาราชฤทธานนท์นั้น เมื่อมาถึงบ้านร่องคาว พวกโจรเงี้ยวก็ใช้ดาบฟัน ๓ ครั้ง ครั้งแรกฟันถูกหู ครั้งที่สองฟันถูกตา ครั้งสุท้ายฟันถูกท้องจนถึงแก่ชีวิต ณ ที่นั่นเอง แล้วพวกโจรเงี้ยวตัดศีรษะพิงเสากระดานป้ายไว้ พระยาราชฤทธานนท์ถูกฆ่าตาย วันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๕

การที่นายแคว่น (กำนัน) แก่บ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) ร่องกาศจับตัวพระยาราชฤทธานนท์ส่งให้พวกโจรเงี้ยว เพราะพวกโจรเงี้ยวให้สินบนแก่ผู้ที่จับพระนยาราชฤทธานนท์ ๓๐๐ บาท และม้าอีก ๒ ตัว

ในวันที่ ๒๖ กรกฎาคม นั้น นอกจากฆ่าพระยาราชฤทธานนท์แล้ว พวกโจรเงี้ยวยังได้ฆ่าพระเสนามาต ๑ นายเกลี้ยง ๑ จ่านายสิบนายอ่วม ๑ พลตำรวจที่โรงพักสูงเม่น ๒ คน นายร้อยตรีตาด และพลตำรวจที่มาจากบ่อแก้วรวม ๓ คน

ในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ พวกโจรเงี้ยวได้ฆ่าหลวงวิมลข้าหลวงผู้ช่วย ๑ หลวงศรีพิชัย ๑ นายร้อยตรีตาดตำรวจเมืองแพร่ ๑ นายไหลเสมียน ๑ อำแดงขาว อำแดงนาค ภรรยาขุนพิพิธ ๒ คน นายจันทร์ แทนนายแขวงยมเหนือ (เมืองสอง) และหนูศรีบุตรขุนพิพิธ ๒ คน

ครั้นในวันที่ ๒๘ – ๒๙ – ๓๐ – ๓๑ กรกฎาคม พวกโจรเงี้ยวก็จัดแต่งหัวหน้าคุมไพร่พล แล้วไปคอยดักด่านอยู่ที่เขาพลึงบ้าง บ่อแก้วบ้าง และตัวพะกาหม่องนั้นคุมพลไปตีเมืองลำปาง และตัวพะกาหม่องถูกปืนตายในที่รบ พวกโจรเงี้ยวเลยแตกหนีกลับมาเมืองแพร่

ฝ่ายพวกโจรเงี้ยวที่ยกไปทางเขาพลึง ได้ปะทะกับกองทัพของพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (ผู้ว่าราชการเมืองพิชัย) ที่ตำบลโป่งอ้อ เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ พวกโจรเงี้ยวเสียชีวิตไป ๒๒ คน ป่วยและบาดเจ็บอีกหลายคน ฝ่ายรัฐบาลเสียชีวิตทหารไป ๑ คน ถูกกระสุนปืน ๑ คน และคนส่งหนังสือถูกพวกเงี้ยวฆ่าตาย ๑ คน พวกโจรเงี้ยวที่ยกไปทางบ่อแก้วไม่ได้ปะทะกับฝ่ายรัฐบาล แต่เมื่อทราบข่าวว่าพวกของตนที่ปะทะกองทัพพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตรแตกหนี ไป ก็ถอยกลับเข้าไปในเมืองแพร่

การที่พะกาหม่องคุมสมัครพรรคพวกก่อการจลาจลขึ้นครั้งนี้ ก็เพราะมีต้นเหตุดังที่หม่อมเจ้าพูนพิสมัย ดิศกุล ธิดาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงไว้ในหนังสือ “แพร่ – น่าน” ว่า “ส่วนต้นเหตุของเรื่องนี้ ข้าพเจ้าเคยได้ยินจากเสด็จพ่อว่าเรื่องเดิมนั้น พะกาหม่องเป็นลูกหนี้เจ้านางแว่นทิพย์ น้องเจ้าฟ้าเชียงตุงอยู่ ๔,๐๐๐ บาท ไม่มีจะใช้ก็หนีมาอาศัยพวกพ้องอยู่ในเมืองแพร่ วันหนึ่งเห็นเขาขนเงินส่วยเข้าไปที่ศาลากลาง ก็นึกขึ้นว่า ถ้าได้เงินนี้ไปใช้หนี้ก็จะกลับไปบ้านได้ แล้วพะกาหม่องก็รวบรวมพวกพ้องบุกเข้าไปปล้นตามที่เล่ามานี้ เผอิญทำไดโดยสะดวก จึงเลยคิดการใหญ่ขึ้น จนเลยกลายเป็นกบฏไป”

เมื่อทางฝ่ายรัฐบาลสยามทราบเหตุการณ์จลาจลในเมืองแพร่ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เป็นแม่ทัพใหญ่ขึ้นมาปราบปรามพวกโจรเงี้ยว จนสงบราบคาบในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ นั้นเอง


กบฏเงี้ยว

ส่วนเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ เจ้าหลวงเมืองแพร่นั้น ด้วยความเกรงกลัวในความผิด ที่ไม่ต่อสู้ป้องกันบ้านเมือง และต้องสงสัยว่าคบคิดกับพวกโจรเงี้ยวก่อการจลาจล ซึ่งจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี แม่ทัพใหญ่ยังไม่ได้สอบสวนความผิด ด้วยความเกรงพระราชอาญาดังกล่าว เจ้าหลวงเมืองแพร่จึงหนีออกจากเมืองแพร่ ในวันที่ ๒๕ กันยายน ร.ศ. ๒๑๒ (พ.ศ. ๒๔๔๕) โดยออกทางประตูศรีชุม มีผู้ติดตามไปคือ พระยาเทียมยศ นายหนานวัด กับราษฎรผู้ติดตามอีกประมาณ ๑๐ คน โดยเดินเลียบฝั่งแม่น้ำยมไปทางเหนือจนถึงบ้านแม่ลาย (แม่หล่าย) บ้านแม่คำมี บ้านห้วยอ้อย และเมืองลี ไปจนถึงเมืองหลวงพระบาง ซึ่งในเวลานั้น ตกอยู่ในอำนาจการปกครองของฝรั่งเศส และอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงพระบางจนสิ้นชีวิต ณ ที่นั้น

ฝ่ายนายพลโท เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี แม่ทัพใหญ่ ได้ทราบเหตุจากเจ้าราชวงศ์กับนางชื่นภรรยา ก็สั่งให้บุตรหลานและเจ้านายทั้งในเมืองแพร่ เมืองน่าน และส่งข้าราชการตำรวจทหารออกสกัดกั้น และสืบหาทางที่เจ้าหลวงเมืองแพร่ได้เล็ดลอดหลบหนีไปหลายสาย ก็ปรากฏว่าไม่พบ ต่อมาจึงทราบว่า เจ้าหลวงเมืองแพร่กับพวกหลบหนีออกไปอยู่ที่เมืองหลวงพระบางเสียแล้ว

ต่อมาวันที่ ๓๐ กันยายน ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) นายพลโท เจ้าพระยาสุรศักดิ์ทนตรี แม่ทัพใหญ่ ได้ประกาศให้ข้าราชการและราษฎรในเขตแขวงเมืองแพร่ และชนทั้งหลายทราบทั่วกันว่า

ข้อ ๑. เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๑ เวลาเช้า เจ้าพิริยะเทพวงศ์เจ้าผู้ครองนครแพร่ ได้ละทิ้งหน้าที่ราชการหายไป โดยไม่ได้แจ้งว่าจะไปหรือมีธุระอันจำเป็นจะต้องไป และทั้งไม่ได้ขออนุญาตต่อผู้เป็นใหญ่ในหน้าที่ราชการด้วย

ข้อ ๒. ได้สั่งให้ข้าราชการ และเจ้านายบุตรหลานของเจ้านครแพร่ ออกไปติดตามโดยรอบคอบเกือบทั่วทั้งเมืองแพร่ เพื่อจะเชิญให้กลับมารับราชการตามเดิม ก็ไม่พบปะเจ้านครแพร่

ข้อ ๓. เหตุที่เจ้าพิริยะเทพวงศ์ ละทิ้งหน้าที่ราชการไปดังนี้ ก็เป็นอันเห็นได้ว่า เจ้าพิริยะเทพวงศ์ได้ตั้งใจหนีไป โดยไม่เต็มใจจะรับราชการฉลองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกต่อ ไปแล้ว

ข้อ ๔. ตามกฎหมายของบ้านเมืองถือในพระราชกำหนดบทอัยการลักษณะขบถศึก มาตรา ๑๕ มีข้อความว่า ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใช้ให้ผู้ใดครองเมืองรั้งเมือง ถ้าผู้นั้นละทิ้งหน้าที่ราชการบ้านเมืองของตนไปเสีย โดยไม่ได้ชี้แจงเหตุการณ์อันควรไป หรือไม่ได้ขออนุญาตต่อผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในหน้าที่ราชการแล้ว ผู้นั้นต้องรับโทษเป็นอย่างเบาที่สุดก็คือ ให้ถอดออกจากหน้าที่ราชการที่ตนได้รับตำแหน่งอยู่นั้นเสีย

ข้อ ๕. กฎหมายบทนี้ ก็เป็นอันตรงกับหน้าที่ราชการในเวลานี้ที่จะใช้โดยเข้มแข็ง เพราะว่าบ้านเมืองได้เกิดจลาจลแล้ว ควรที่ข้าราชการต้องรับราชการฉลองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เต็มสติกำลังใจของตน

เพราะฉะนั้น จึงประกาศให้ข้าราชการและราษฎรในเขตเมืองแพร่ทราบทั่วกันว่า

๑. เจ้าพิริยะเทพวงศ์กระทำความผิดลงแล้ว ครั้งนี้ต้องด้วยพระราชกำหนดบทพระอัยการศึกลักษณะขบถศึก ให้ถอดออกจากตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครแพร่ลงเป็นไพร่ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กันยายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ แล้วให้คงเป็นน้อยเทพวงศ์ตามเดิม

๒. ถ้าการต่อไป เจ้าพิริยะเทพวงศ์จะออกหมายหรือคำสั่งอย่างใดห้ามไม่ให้เชื่อถือเป็นอันขาด

๓. หน้าที่ข้าหลวงรักษาราชการเมืองแพร่นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยาศรีสุริยราชวรา นุวัตร เป็นผู้รั้งราชการต่อไป

ประกาศมา ณ วันที่ ๓๐ กันยายนรัตนโกสินทรศก ๑๒๑

เป็นอันว่าเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ เจ้าหลวงเมืองแพร่ได้ถูกออกเป็น “นายน้อยเทพวงศ์” แต่นั้นมา ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีนามสกุล “ณ แพร่” แต่เชื้อวงศ์ของเจ้าเมืองแพร่ยังมีเหลืออยู่ โดยแยกวงศ์ตระกูลเป็นหลายสาย คือ แพร่พันธุ์ (นามสกุลของนายโชติ แพร่พันธุ์ เจ้าของนามปากกา “ยาขอบ” ผู้เขียนวรรณกรรมอันลือชื่อเรื่อง “ผู้ชนะสิบทิศ” ปัจจุบันบุตรชาย นายมานะ แพร่พันธุ์ เป็นบรรณาธิการ นสพ. พิมพ์ไทย) วราราช (นามสกุลของขุนวีระภักดี) วังซ้าย , เตมียานนท์ , แก่นหอม , หมายศปัญญา , และวงศ์บุรี เป็นต้น

วีรกรรมของพระยาไชยบูรณ์ (ทองอยู่) ซึ่งต่อมาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาราชฤทธานนท์พหลภักดี” ซึ่งพยายามที่จะรวบรวมกำลังต่อสู้กับพวกโจรเงี้ยว แม้จะไม่มีอาวุธเพียงพอก็ตาม และในขณะที่พวกโจรเงี้ยวปล้นเมืองนั้น ก็มิได้มีความพะวงถึงครอบครัวบุตรภรรยา และทรัพย์สมบัติของตน โดยเห็นแก่บ้านเมืองเป็นส่วนใหญ่ ผลที่สุดต้องถูกพวกโจรเงี้ยวฆ่าตายอย่างทารุณ นับว่าเป็นผู้เสียสละชีพเพื่อประเทศบ้านเมืองอย่างน่าสรรเสริญ และเป็นตัวอย่างอันดีแก่ประชาชนทั่วไป ทางการจึงได้สร้างศิลาจารึกเป็นอนุสาวรีย์แก่พระยาราชฤทธานนท์พหลภักดีไว้ ดังกล่าวแล้ว

หนังสืออ้างอิง

๑. ที่ระลึกในคราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรจังหวัดแพร่ พ.ศ. ๒๕๐๑
๒. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๘ (ปราบเงี้ยวตอนที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๕
๓. จังหวัดแพร่ งานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ๒๕๐๐

ขอบคุณ

แอดแป้บอร์ดดอทคอม

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มนุษย์ MSN อิอิ

ประเภทที่ 1 : อกหักรักคุดตุ๊ดเมิน เกย์ไม่เอา ทอมไม่แล กระเทยทิ้งประเภท นี้หลายๆคนคงจะเห็นกันบ่อยคือชื่อที่ตั้งใน m จะเป็นอะไรที่เน่ามากๆ ไม่เคยคิดที่จะใช้ชื่อแบบอื่นเลย ในหัวมีแต่ความรักลอยเต็มหัว ไม่มีเวลาจะไปคิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องรักๆใคร่ๆ ตัวอย่างชื่อที่ใช้ก็เช่น "ฉัน เป็นห่วง เธอ ..มากเลยรุ้มั้ย" , "อีกไม่ช้าไม่นานใจเธอจะต้องเปลี่ยนไปจากฉัน", "หรือเราจะรักกันไม่ได้อีกแล้ว" , "ขาดเธอเหมือนขาดใจ"ประเภท ที่ 2 : Away ทั้งชาติประเภทนี้คือตลอดเวลาที่ออน *** จะมีสถานะเป็น Away ตลอด แต่จริงๆแล้วก็อยู่หน้าคอมฯประเภทที่ 3 : สิ้นคิดสม กับชื่อประเภทที่บอกไปข้างต้นเพราะพวกเขาเหล่านี้จะตั้งชื่อใน m โดยใช้ชื่อที่สั้นๆ เช่น ใส่ "........" เป็นชื่ออย่างเดียว หรือ "- -" รึไม่ก็ทศนิยมตัวเดียว แทบจะเห็นชื่อของคนประเภทนี้เป็นสีขาวหรือว่างเปล่าไปเลยเวลามองใน List รายชื่อ ซึ่งที่ตั้งชื่อแบบนี้อาจจะเป็นเพราะอยู่ในอาการจิตตก....หรือขี้เกียจพิมพ์ ....หรือนึกไม่ออกว่าจะใช้ชื่ออะไรดีประเภทที่ 4 : หัวศิลป์ใคร ที่จะอ่านชื่อของมนุษย์ m ประเภทนี้ขอให้ทำใจเพราะบางทีตัวอักษรที่พวกเค้าใช้ตั้งในชื่อนั้น จะไปคัดสรรค์มาอย่างดีจาก Character Map ซึ่งศิลป์ขนาดที่ว่าอ่านกันไม่รู้เรื่องเลยทีเดียวชื่อ ที่มนุษย์ m ประเภทนี้ใช้ก็เช่น "? ? ? ? ? ? ? ? ? ? Ψ"ประเภทที่ 5 : ออน *** ผ่านมือถือมนุษย์ *** ประเภทนี้ชอบออน *** ผ่านมือถือ แต่พวกเขาเหล่านี้จะไม่ Chat หรือยินดีอยากให้มีคนทักมาหาเลย เพราะเวลาเปิดดูข้อความ/ส่ง *** ผ่านมือถือมันต้องเสียตังค์..... อีกเหตุผลนึงก็คือในมือถือมันพิมพ์ยาก+มันไม่แสดงผลชื่อเป็นสีหรือตัวหนาบาง ทำให้ชื่อคนที่ส่งข้อความมานั้นยาวเหยียด.....ก็มันไม่มี *** Plus นี่นาประเภทที่ 6 : ออน 24 ชม.พวก เค้าคือมนุษย์ m อย่างแท้จริงหากพวกเค้ายังมีชีวิต หากพวกเค้าต่อเน็ท จะต้องออน m เสมือนว่าชั้นยังมีตัวตนชั้นยังไม่หายไปไหน เมื่อคุณออน m ทุกครั้งคุณจะเห็นพวกเขาเหล่านี้ Online อยู่ใน List คุณเสมอๆจนน่ากลัว....ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย ค่ำ จนถึงตี 4 ตี 5 ยันเช้าเลยก็มิปาณ แต่พวกเขาจะอยู่หน้าคอมรึเปล่าก็อีกเรื่องนึงประเภท ที่ 7 : Busy ทั้งชาติประเภท นี้จะต่างกับ Away ก็ตรงที่พวกเค้าอาจจะทำอะไรที่เป็น Full Screen อยู่ซึ่งระบบจะขึ้น Busy ให้อัตโนมัติ (ถ้าตั้งค่าเอาไว้) ทักหาพวกเขาไปก็จะไม่ตอบกลับรึอาจจะตอบกลับมาว่า"ไม่ว่างเล่นเกมอยู่" ซึ่งนี่คือเหตุผลหลักๆของมนุษย์ m ประเภทนี้ประเภทที่ 8 : สบถ/บ่น อย่างเดียวเหมือน กับชื่อประเภทที่กล่าวมาคือมนุษย์ m ประเภทนี้จะตั้งชื่อ m ไว้ระบายความเครียดบ่นรึสบถเพียงอย่างเดียว แล้วออนให้ชาวบ้านเห็นซึ่งเวลาที่เห็นชื่อมนุษย์ประเภทนี้ใน List รายชื่อจะชวนให้รู้สึกแย่/รำคาญ ได้ไม่มากก็น้อย และถ้าหากทักไปขณะที่พวกเขาใช้ชื่อแบบนี้อยู่ คุณอาจจะโดนพวกเค้าสบถ/บ่นกลับมอย่างทันควัน เพราะขณะนั้นพวกเค้าจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนักประเภทที่ 9 : Chat กระจาย คีย์บอร์ดกระเด็น *** ค้างประเภท นี้เมื่อพวกเขาเข้า M สิ่งที่จะต้องทำคือทักทุกคนที่ขวางหน้าและ Chat อย่างเมามันส์ ในรายชื่อ *** ของมนุษย์ประเภทนี้จะมีรายชื่อที่ Add ไว้เยอะมากมายไม่ต่ำกว่า 100 รายชื่อ บ้างก็อาจจะมากถึงหลายร้อยเลยทีเดียว ที่มีมากมายขนาดนี้เพราะพวกเค้าพยายามที่จะหาคนคุยด้วยอยู่ตลอดเวลาประเภท ที่ 10 : หน้าม่อ/หูดำ/หน้าเป็นอลูมิเนียมประเภท นี้จะเป็นเฉพาะผู้ชายซะส่วนใหญ่และพวกนี้จะไม่ต่างจากประเภทที่ 9 เท่าไหร่นัก ต่างกันตรงที่ แทนที่พวกเขาจะ Chat แต่กลับเป็นม่อแทน พวกนี้จะหมายหา Mail ของผู้ ญ เท่านั้น ในรายชื่อพวกเค้าแทบจะไม่มีผู้ชายเลย ซึ่งเมื่อทักไปหาคนพวกนี้แล้วถามว่าได้ Mail มายังไง พวกเค้าก็มักจะตอบว่า"ได้มาจากใน Exteen กั๊บ" , "ในบอร์ดกั๊บ" , "เพื่อนให้มากั๊บ" ซึ่งชะตากรรมพวกนี้จะจบลงด้วย"Block and Delete"ประเภทที่ 11 : Infecter !!! (ตัวแพร่เชื้อโรค)ประเภท นี้อันตรายกว่าประเภทที่ 10 มาก เพราะพวกเค้าเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นพวกใช้คอมฯไม่เป็นรึไม่ก็เสพติดการเปิด เว็ป** จนทำให้ Spyware และ Virus หมักหมมอยู่ในตัวเครื่องจนมันแพร่ออกมาทาง *** ของพวกเค้าคอยส่งความรำคาญให้ชาวบ้านแบบสุดๆ ชะตากรรมไม่ได้ต่างไปจากประเภทที่ 10 คือ "Block and Delete"ประเภท ที่ 12 : ปัญญาอ่อนในโลก Cyber (Cyber Syndrome)ประเภท นี้เป็นประเภทที่สื่อสารได้ยากมากที่สุด พวกเค้าเหล่านี้ไม่มีความสามารถในการเขียนหรือพิมพ์แต่อย่างใดใน *** หรือในโลกของจอมอนิเตอร์เลยเสมือนบุคคลพิการทางสมองก็มิปาน ถามไปก็ตอบไม่เป็นศัพท์ ไม่ได้ความ คนละเรื่อง จนต้องใช้วิธีโทรศัพท์ไปคุยแทน แต่จริงๆแล้วก็เป็นคนปกตินี่แหละ ?ประเภท ที่ 13 : นักปราชญ์ถ้า ได้อ่านชื่อ หัวเอ็ม ของคนประเภทนี้คุณจะตรัสรู้เป็นพระอรหันต์เลยก็มิปาณ เพราะชื่อ *** ของพวกเค้าเหล่านี้จะเป็นปรัญญาหรือคำคม คติธรรม อุดมการณ์ไปซะหมดประเภท ที่ 14 : มือใหม่หัดเล่น mก็ อย่างที่ชื่อบอกพวกเค้าจะทำอะไรไม่ค่อยเป็นไม่ว่าจะส่งไฟล์ แชร์ไฟล์ แชร์ไวท์บอร์ด เปิดเว็ปแคมฯลฯ เพราะพวกเค้าส่วนมากจะไม่ใช่คนที่เล่นคอมฯเป็นชีวิตหรือเป็นคนที่พึ่งหัด เล่นคอมฯ จึงไม่ค่อยเข้าใจการพูดจาหรือสังคมในเน็ทมากนัก แล้วที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือพวกเค้าเหล่านี้ยังไม่มีสัมมาคาราวะเท่าที่ควร เพราะพวกเค้าส่วนมากคิดว่าการที่เค้าพิมพ์ผ่านจอมอนิเตอร์กับการพูดคุยกันใน โลกของความจริงมันต่างกันจึงพูดจาไม่ค่อยมีมารยาทนัก เช่น รู้ว่าคุยกับรุ่นพี่ก็ยังพูด "เออ" , "รู้แล้ว" พูดจาไม่มีหางเสียงเป็นต้นประเภท ที่ 15 : เกรียนประเภท สุดท้ายนี้ไม่อยากจะให้คำจำกัดความให้ปวดหัวเพราะทุกคนรู้กันดีอยู่ แล้ว.....ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ได้ Mail ของพวกเราชาวมนุษย์ไป Add ได้อย่างไร.....

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รวมวิธีแก้ sign in เข้าMsnไม่ได้

รวมวิธีแก้ sign in เข้าMsnไม่ได้
ที่มา คุณ NaDaRa
มาดูวิธีแก้คับ
เนื่องจากในปัจจุบันมีปัญหาใหม่จากอันเก่าที่เป็นรหัส 80048820 ซึ่งหลายคนคงจำรหัสนี้ได้เป็นอย่างดีมาแล้ว
ปัจจุบันมีรหัสใหม่ที่อาจจะป่วนใครหลายคนได้เป็นอย่างดีเหมือนกัน นั่นคือรหัส 80048883
ซึ่งเป็นของแถมจาก MSN Version ใหม่ ๆ ซึ่งผู้ร่วมพัฒนาจึงได้แก้มาเป็น Version 7.5.0324 ให้เลยครับ มันเลยหลายเป็น Unofficial Released นะครับ
http://www.msn-th.com/downloads/msn750324.exe

สาเหตุที่เกิด โดยดูจาก Errorcode
ErrorCode : 80048883
1. ให้ไปที่ http://clientconfig.passport.net/ppcrlconfig.bin
2. แล้วโหลดไฟล์นั้นแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น ppcrlconfig.dll นะครับ
3. แล้วคลิ๊กขวา copy แล้วไป paste ที่ C:\Documents and Settings\[Windows USER]\Application Data\Microsoft\IdentityCRL
4. แล้วลองเข้าดูครับ

ErrorCode : 80048848
- สาเหตุ: เกิดจากปัญหาของ Firewall หรือการติดต่อออกอินเตอร์เน็ต มีปัญหา
- วิธีแก้: แก้ตามวิธีแก้ที่ 1 และ 2 ครับ

ErrorCode : 81000362
- สาเหตุ: เกิดจากที่ตัว IE เปิด Work OffLine ไว้ครับ
- วิธีแก้: แก้ตามวิธีแก้ที่ 11 ครับ

ErrorCode : 800b001
- สาเหตุ: เกิดจาก MSN หาไฟล์พวก .dll บางตัวไม่เจอ ทำให้ไม่สามารถ sign in ได้
- วิธีแก้: แก้ตามวิธีแก้ที่ 3 คับ

ErrorCode : 80048820
- สาเหตุ: เกิดจากวันที่ของเครื่องไม่ถูกต้อง
- วิธีแก้: แก้ตามวิธีแก้ที่ 3 คับ หรือตั้งวันที่ใหม่ครับ (แนะนำเพิ่มเติมเล็กน้อย)ควรตั้งเวลาที่Biosด้วย

ErrorCode : 80072ee7
- สาเหตุ: เกิดจากปัญหาของ Firewall หรือการติดต่อออกอินเตอร์เน็ต มีปัญหา
- วิธีแก้: แก้ตามวิธีแก้ที่ 1 และ 2 คับ

ErrorCode : 80072eff , 80070193 , 800701f7
- สาเหตุ: เป็นปัญหาจาก .NET Messenger Service มีปัญหา ซึ่งอาจจะเกิดจากตัว .Net server
- วิธีแก้: แก้ตามวิธีแก้ที่ 1 , 2 และ 4 คับ

ErrorCode : 80072efd
- สาเหตุ: ปัญหานี้เกิดจาก ในส่วนของ windows update
- วิธีแก้: แก้ตามวิธีแก้ที่ 1 , 2 , 3 และ 5 คับ

ErrorCode : 80072f0d
- สาเหตุ: เกิดจากที่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับ security ของ MSN ไม่ทำงาน
- วิธีแก้: แก้ตามวิธีแก้ที่ 1 , 2 , 3 และ 6 คับ ถ้ายังไม่หายให้เพิ่มข้อ 10 ด้วยคับ

ErrorCode : 80070190
- สาเหตุ: เกิดจากปัญหาการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
- วิธีแก้: แก้ตามวิธีแก้ที่ 1 , 2 , 4 และ 3 คับ

ErrorCode : 80070301
- สาเหตุ: เกิดจากปัญหา ของ .NET Messenger Service
- วิธีแก้: แก้ตามวิธีแก้ที่ 1 , 2 , 4 , 7 และ 8 คับ

ErrorCode : 81000303 หรือ " Microsoft .NET Passport has made your account temporarily unavailable to help prevent other users from guessing or obtaining your password."
- สาเหตุ: เกิดจากปัญหา ของ .NET Messenger Service หรือ รหัสผ่านผิด
- วิธีแก้: แก้ตามวิธีแก้ที่ 1 , 2 , 3 ,4 และ 7 คับ

ErrorCode : 81000306
- สาเหตุ: เกิดจากปัญหา ของ .NET Messenger Service หรือ การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
- วิธีแก้: แก้ตามวิธีแก้ที่ 1 , 2 , 4 และ 8 คับ

ErrorCode : 81000314
สาเหตุ: ไฟล์ dll บางไฟล์ของ MSN ยังไม่ได้ทำการ Register
วิธีแก้:
- โหลดโปรแกรมนี้ไปแล้วกดเปิดครับ http://www.msn-th.com/downloads/msnallreg.bat
ErrorCode :80072745
สาเหตุ: เกิดจากปัญหาการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
วิธีแก้:
- ตรวจเช็ค Internet ว่า Connect อยู่หรือป่าว...
- ปิด Firewall ทั้งของ Windows , Router และโปรแกรม Antivirus ต่างๆ
- Register DLL files และตั้งวันที่ใหม่ โดยใช้ไฟล์นี้คับ http://www.msn-th.com/downloads/msnallreg.bat
- เช็ค .Net Messenger Service server อาจมีปัญหา ลองคลิ๊กที่นี่เพื่อตรวจสอบ http://messenger.msn.com/Status.aspx ว่า Server รันอยู่หรือป่าว
---------------------------------------------------------------------------------------------------

วิธีแก้:
1. ตรวจเช็ค Internet ว่า Connect อยู่หรือป่าว...

2. ปิด Firewall ทั้งของ Windows , Router และโปรแกรม Antivirus ต่างๆ

3. รีเซ็ต Register DLL files ของ MSN และตั้งวันที่ใหม่ โดยใช้ไฟล์นี้คับ
http://board.kailandz.com/download.php?id=2942

4. เช็ค .Net Messenger Service server อาจมีปัญหา ลองคลิ๊กที่นี่เพื่อตรวจสอบ http://messenger.msn.com/Status.aspx ว่า Server รันอยู่หรือป่าว

5. Internet Explorer ต้องสนับสนุน การเข้ารหัสแบบ 128 bit ให้ตรวจสอบ โดยดูได้ด้วยการคลิกเมนู Help->About ใน IE
ถ้าไม่ใช่แนะนำให้ลง IE6 ใหม่อีกรอบคับ

6. เปิด Internet Explorer ไปที่เมนู Options -> Internet Options.. -> Advancd แล้วดูที่หัวข้อ use SSL 2.0 และ use SSL 3.0 ให้ติ๊กถูกทั้ง 2 อัน

7. ให้ตรวจสอบ user name และ password ให้แน่ใจด้วยการกรอกใหม่อีกครั้งระวังตัวพิมพ์เล็กและใหญ่ด้วยนะคับ

8. ไปที่ Start -> Run พิมพ์ %appdata%\microsoft กด Enter และลบโฟล์เดอร์ชื่อ MSN Messenger (Emo และ DP ที่เพิ่มเข้าไปจะหายไปหมด)

9. อาจถูกบล็อคการใช้งานจากผู้ดูแลระบบ ลองติดต่อ admin คับ

10. ไปที่ Start -> Run พิมพ์ regsvr32 initpki.dll กด Enter แล้วรอครับอาจจะนานหน่อยเป็น 10 นาที...
11. ตรวจเช็คการตั้งค่าใน IE และ MSN

เช็คว่า IE OffLine ไว้หรือป่าว
- เรียก Internet Explorer ขึ้นมาคับ
- กดที่เมนู File แล้วดูที่ Work Offline ว่ามีติ๊กไว้หรือป่าวถ้ามีให้เอาออก
ตรวจเช็คการตั้งค่า Proxy ใน IE
- เรียก Internet Explorer ขึ้นมาคับ
- กดที่เมนู Tools --> Internet Options
- คลิ๊กที่แท็บ Connections กดปุ่ม LAN Settings คับ
- เอาตัวติ๊กทั้งหมดออกคับ
- กด OK 2 ที
ตรวจเช็คการตั้งค่า Proxy ใน MSN
- เรียก MSN Messenger ขึ้นมาคับ
- กดที่เมนู Tools -- Options คับ
- เลือกที่ Connection กดปุ่ม Advanced Settings
- ลบทุกอย่างที่เติมไว้ในบล็อคคับ
- กด OK 2 ที

12. ตรวจเช็คไฟล์ hosts (อาจโดนเปลี่ยนโดย Spyware บางตัว)
- กดที่ Start ---> Run
- พิมพ์ notepad %SystemRoot%\system32\drivers\etc\hosts
- แล้วลบทั้งหมดออกเหลือไว้แต่ 127.0.0.1 , localhost แค่บรรทัดเดียวคับ
- แล้วสั่ง File -->Save แล้วปิดไปเลยคับ

ปล.ถ้าใครทำแล้วยังใช้ไม่ได้ให้ลองเพิ่มข้อ ,11 และ 12 ด้วยคับ

ขอบคุณ Mthai.com, msn-problems.com, Adslthailand.com ที่ให้ข้อมูลคับ

ปล. ขอให้โชคดี นะครับ
แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 49 06:45:15

จากคุณ : ออนไลน์ - [ 24 ก.ย. 49 06:44:12 ]
**********************************************************************
ข้อมูลจาก http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2006/09/X4735380/X4735380.html ครับ

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประกาศสอบราคาจ้างเหมา ทาสี + ปรับปรุงอาคารเรียน

สอบราคาทาสีอาคาร
โรงเรียนบ้านดอนชัย (กันทราษฎร์วิทยาคาร)
ด้วยโรงเรียนบ้านดอนชัย มีความประสงค์จะสอบราคาจ้าง ปรับปรุงซ่อมแซมเปลี่ยนหลังคาและทาสีอาคารเรียน
อาคารประกอบแบบ พร.003 ขนาด 4 ห้องเรียน กำหนดรับซอง-ยื่นซองสอบราคา
ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม - 20 พฤษภาคม 2553 เวลา 18.30 - 16.30 น. ณ โรงเรียนบ้านดอนชัย รายละเอียด(ตามเอกสารแนบ)
ดาวน์โหลด คลิก >> Download หรือ
IMG_NEW

ขอบคุณอีกครั้ง กับ บทความดีดี

ขอขอบคุณ Addphraeboard.com ที่สร้างสรรค์ผลงานดีดี

ขอขอบคุณ Addphraeboard.com ที่สร้างสรรค์ผลงานดีดี

พิริยาลัย ปัจฉิมนิเทศ ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3

..

โรงเรียนพิริยาลัยจังหวัดแพร่ จัดกิจกรรม ปัจฉิมนิเทศ ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3
ณ หอประชุมผึ้งหลวง
วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ผ่านมา

..















ปัจฉิม ม.6 (ย้อนหลัง)

ปัจฉิม ม.6 ค่ะ
(ย้อนหลัง)

..



























ตึกเก่า ณ เจริญเมือง

บริเวณถนนเจริญเมือง แถวๆ ธนาคารกรุงไทย มีตึกเก่าอยู่ทั้งสองข้างถนน
ผมว่าวิวดีไม่น้อย ลองไปเช้าๆรอเก็บภาพประชาชนใส่บาตรภิกษุสงฆ์สามเณร ผมว่าสวยไม่แพ้ภูเก็ตนะคับ(คิดไว้นานแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำ)
นอกจากนี้ยังมีตึกแถวที่สร้างหลายยุคสมัย น่าจะเป็นเสน่ห์ของเมืองแป้ ลองเก็บภาพมาแบ่งกันดูนะคับ

แป้ เมืองน้อยๆที่สงบเงียบ แต่เต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรมประเพณีและธรรมชาติที่งดงาม

พิริยาลัย ในอดีต

เรื่องน่ารู้ของ "ปลาการ์ตูน"



ปลาการ์ตูน (Clownfish) อันดับ Perciformes วงศ์ Pomacentridae วงศ์ย่อย Amphiprioninae เป็นปลาที่อาศัยอยู่ในทะเล มีหลายพันธุ์ จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกปลาสลิดหิน (Pomacentridae) พบอาศัยอยู่ตามแนวปะการังในบริเวณเส้นศูนย์สูตรทั่วโลก อาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเล (sea anemone) มีสีสันสวยงาม โดยทั่วไปประกอบด้วยสีส้ม แดง ดำ เหลือง และมีสีขาวพาดกลางลำตัว 1-3 แถบ อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นชนิดเดียวกัน ก็จะมีสีแตกต่างกันเล็กน้อยเสมอ ซึ่งความแตกต่างนี้ทำให้มันจำคู่ได้ นอกจากนั้น แหล่งที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันทำให้เกิดการแปรผันด้วย ปลาการ์ตูนอยู่กันเป็นครอบครัว กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร เป็นปลาที่หวงถิ่นมาก มีเขตที่อยู่ของตนเอง

ปลาการ์ตูนออกลูกเป็นไข่ และมันสามารถเปลี่ยนเพศได้ เรื่องนี้ นพดล ค้าขาย แห่งศูนย์การศึกษาการพัฒนาประมงอ่างคุ้งกระเบน อธิบายว่า ปลาการ์ตูนเปลี่ยนเพศเมื่อสิ่งแวดล้อมกำหนดบทบาทให้ โดยในระยะแรกเริ่มหลังจากที่ฟักออกจากไข่ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าเป็นเพศใด จนกว่าจะเป็นตัวเต็มวัยจึงจะปรากฏเป็นปลาเพศผู้ และในปลารุ่นเดียวกันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดจะต้องเปลี่ยนแปลงเป็นปลาเพศเมีย โดยในสังคมของปลาการ์ตูนกลุ่มหนึ่งๆ จะมีปลาเพศเมียเพียงตัวเดียวเท่านั้น ตัวใหญ่ที่สุดในฝูง สีสันไม่สดใสมากนัก พฤติกรรมก้าวร้าว ส่วนปลาเพศผู้มีขนาดเล็กกว่า สีสันสวยงามกว่า

จากปลาเพศผู้ เมื่อมีสิ่งเร้าจากภายนอกและภายในเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ เทเลนฟาลอน (Telenephalon) จะส่งสัญญาณมาที่ธาลามัส (Thalamus) และไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) ส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมองให้หลั่งฮอร์โมนเฉพาะของเพศผู้ อวัยวะเป้าหมายส่วนที่ จะพัฒนาจนสามารถทำงานได้คืออัณฑะผลิตสเปิร์ม ส่วนตัวที่ใหญ่ ที่สุดจะมีพัฒนาการตรงกันข้าม ไฮโปธาลามัสจะส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมองให้หลั่งฮอร์โมนเฉพาะของเพศเมีย อวัยวะเป้าหมายคือรังไข่ ผลิตไข่ และถ้าเพศเมียตายไป ปลาการ์ตูนเพศผู้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แข็งแกร่งที่สุด จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพศทดแทนด้วยกลไกแบบหลังภายใน 4 สัปดาห์ โดยจะเพิ่มขนาดอย่างรวดเร็ว พร้อมสีสันสวยน้อยลง

ปลาการ์ตูนมีทั้งหมด 28 ชนิด ในเมืองไทยพบปลาการ์ตูน 7 ชนิด พบทั้งอ่าวไทยและอันดามัน ได้แก่ ปลาการ์ตูนส้มขาว ปลาการ์ตูนอินเดียนแดง ปลาการ์ตูนแดง ปลาการ์ตูนมะเขือเทศ ปลาการ์ตูนอานม้า ปลาการ์ตูนลายปล้อง ปลาการ์ตูนอินเดียน

ดอกไม้ทะเลที่ปลาการ์ตูนชื่นชอบ เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง มันมีเข็มพิษ แต่ไม่เป็นอันตรายกับปลาการ์ตูน เป็นพฤติกรรมที่สัตว์สองชนิดพึ่งพากันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ดอกไม้ทะเลมีหนวดยาวมากมายพลิ้วไหวไปตามกระแสน้ำ ส่วนร่างยึดติดกับโขดหินหรือปะการังเอาไว้ หนวดที่เห็นอ่อนนุ่มเป็นอวัยวะสำคัญที่ใช้หาอาหาร บริเวณปลายหนวดเต็มไปด้วยเข็มพิษจำนวนมหาศาล เมื่อมีปลาว่ายหลงผ่านมา ดอกไม้ทะเลจะใช้หนวดพิษทิ่มแทงเหยื่อให้เป็นอัมพาต แล้วใช้หนวดจับเข้าปาก จึงไม่มีปลาอื่นกล้าว่ายเข้าใกล้ดอกไม้ทะเล ยกเว้นเพียงปลาการ์ตูน มันเที่ยวว่ายหากินสาหร่ายเล็กๆ อยู่รอบๆ ครั้นมีศัตรูมารบกวน มันจะรีบว่ายเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในกอดอกไม้ทะเล

ซึ่งที่จริงปลาการ์ตูนก็ได้รับพิษเช่นกัน แต่มันรู้จักปรับตัวโดยใช้วิธีว่ายเข้าไปสัมผัสกับดอกไม้ทะเลทีละน้อยๆ แล้วถอยออกมา ทำอยู่จนกระทั่งร่างกายสร้างเมือกขึ้นมาคลุมตัว ช่วยป้องกันเข็มพิษดอกไม้ทะเลได้ในที่สุด สรุปว่าที่ปลาการ์ตูนไม่ตายเพราะพิษของดอกไม้ทะเลเพราะมีเมือกเคลือบทั้งตัว ถ้าเอาเมือกออกปลาการ์ตูนจะถูกพิษของดอกไม้ทะเลตาย

ปัจจุบันมีการเพาะพันธุ์ปลาการ์ตูนตามศูนย์วิจัยหรือฟาร์มต่างๆ แต่ลูกปลาที่ได้จากการเพาะพันธุ์ไม่สามารถนำไปปล่อยแหล่งที่อยู่ตามธรรมชาติ เพราะมันไม่สามารถปรับตัว ไม่สามารถป้องกันตัวเองจากศัตรู สุดท้ายก็ต้องไปเป็นเหยื่อปลาที่อยู่ตามธรรมชาติ

แบงค์ร้อยใหม่ เร็วๆนี้

แบงค์ร้อยใหม่ เร็วๆนี้

คุณเคยแอบรัก "เพื่อน" บ้างมั้ย?

อยากเห็นทุกคน "ทำความดี" อิอิ

คำนวณเลข ผ่าน Google

ปกติ ผมจะแอบใช้ในห้องสอบ อ่ะครับ

เป็นมือถือ ที่ต่อเน็ตได้ หรือไม่ก็ PDA Phone

หรือว่า Smart Phone

เข้า Google แล้วก็ลองๆ ใช้สูตรดูนะครับ

ความ(ไม่)ลับ ครับ

อิอิ

ออกฝึก Portrait อิอิ





เรื่องบนเตียงต้องอาศัยทัศนคติและความ เข้าใจที่ถูกต้อง

เรื่องบนเตียงต้องอาศัยทัศนคติและความ เข้าใจที่ถูกต้องเพื่อให้เซ็กส์เป็นไปอย่าง ราบรื่น มิใช่แค่เมื่ออารมณ์เริ่มร้อนระอุ ก็เปิดศึกกระโจนเข้าใส่กัน แค่พอให้ไฟราคะมอดไหม้เป็นครั้งคราวไป มาดูข้อผิดพลาดของผู้หญิงที่มีผลต่อชีวิตเซ็กส์ดังนี้ค่ะ


1. ผู้หญิงคิดว่าผู้ชายเตรียมพร้อมออกรบได้ตลอดเวลา วู้ย ถ้าเป็นเด็กหนุ่มวัย 17 เนื้อกำลังหวานกรุบกรอบและเพิ่งมีแฟนคน แรก ก็ว่าไปอย่าง ไม่ว่าจะเดินเหิน ลุกนั่ง หรือฝันกลางวัน หนุ่มเอ๊าะสามารถแทรกเรื่องบนเตียงเข้าไปด้วยได้เสมอ แต่สำหรับผู้ชายวัยยี่สิบกว่า ยังมีเรื่องอื่นในชีวิตที่ต้องให้ความ สนใจ ความต้องการทางเพศย่อมลดลงเป็นธรรมดา ผู้ชายไม่ใช่ไวเบรเตอร์นี่คะ จะได้กดปุ่มสตาร์ทเครื่องแล้วลุยได้ทันที นี่คือเหตุผลที่โลกนี้มีสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์เรียกว่าไวเบรเตอร์


2. ผู้หญิงคิดว่าเซ็กส์สิ้นสุดเมื่อเขา หลั่ง ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นค่ะ สำหรับคู่ขาที่เห็นแก่ตัวเซ็กส์มักจบลงด้วยการทิ้งตัวนอนแผ่ และปากเพ้อว่า “สุดยอดมากๆ” ปล่อยให้ผู้หญิงแห้งโหยห่อเหี่ยว ความจริงคือถึงแม้เจ้าหนูหมดเรี่ยวแรง แต่ปากกับมือก็ยังใช้ได้นี่นา สิ่งที่ผู้หญิงควรทำคือเรียกร้องให้เขาใช้มือช่วยกระตุ้นเพื่อไม่ ให้ขาดตอน เมื่อหายเหนื่อยแล้วค่อยใช้ปากช่วยเสริมให้อารมณ์ต่อเนื่อง ทางที่ดีผู้หญิงควรถึงจุดสุดยอดก่อน เพราะผู้ชายจะง่วงทันทีหลังไคล แมกซ์


3. ผู้หญิงไม่รู้ว่าสำหรับผู้ชาย เซ็กส์เป็นมากกว่าเซ็กส์ ผู้ชายมักมีเซ็กส์เพื่อให้รู้สึกว่าเป็นที่ต้องการ จึงยากที่จะเชื่อว่าผู้ชายมีความรู้สึกดื่มด่ำลึกซึ้งตอนที่กำลัง ล้วงมือ เข้าใต้กระโปรงหรือตอนฟอนเฟ้นหน้าอกหน้าใจของผู้หญิง ความจริงแล้วสำหรับผู้ชายเซ็กส์คือวิธีที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเอง ถูกยอมรับ ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ ผู้ชายบางคนไม่ถนัดในการแสดงอารมณ์เหมือน ผู้หญิง ก็เลยใช้เซ็กส์เป็นวิธีแสดงความรักและใกล้ชิดแนบแน่น ดังนั้นการปฏิเสธเซ็กส์ ในสายตาผู้ชายบางคนอาจหมายความว่า เราไม่ชอบหรือไม่ต้องการเขา วิธีแก้คือ อย่าปฏิเสธ ให้ถามว่าเมื่อไร และเคลียร์ไปเลยว่า เราปฏิเสธแค่เซ็กส์ แต่ยังพูดคุยแตะเนื้อต้องตัวได้ตามปกติ


4. ผู้หญิงกังวลรูปร่างตัวเองมากไปในตอนมีเซ็กส์ ผู้หญิง บางคนน้ำหนักขึ้นแค่ 1-2 กก. ก็ไม่กล้ามีเซ็กส์เป็นอาทิตย์ หากมัวรอวันผอมสวย ชาตินี้อาจงดเซ็กส์ไปเลยก็ได้ เรื่องจริงคือ เมื่อผู้ชายอยากมีเซ็กส์กับเรา เขาจะคิดว่าเราคือผู้หญิงเซ็กซี่ที่สุดบนโลกมนุษย์ในวินาทีนั้น และถ้าเขาอยากมีเซ็กส์กับเราอีก นั่นแสดงว่าเขาชอบรูปร่างของเรามากพอที่จะกลับมาขออีกสักครั้ง ไปๆมาๆความสัมพันธ์อาจยืดเยื้อเป็นปี คงต้องบอกกันไว้ตรงนี้ค่ะว่า จากการศึกษาหลายสำนักพบว่า ผู้ชายส่วนมากชอบผู้หญิงที่มีส่วนโค้งส่วนเว้ามากกว่าผู้หญิงผอม กะหร่อง ดังนั้นเลิกกังวลกับรูปร่างตัวเอง เพื่อเซ็กส์ที่มีความสุขดีกว่าค่ะ


5. ผู้หญิงไม่บอกความต้องการ ระบบเซ็กส์ของผู้ชายเรียบง่ายไม่มีอะไรมาก เมื่อเกิดอารมณ์ เจ้าหนูก็แข็งตัวตั้งเด่ หลังจากสอดใส่ได้สักพักก็ถึงจุดสุดยอด แต่สำหรับผู้หญิงเซ็กส์ซับซ้อนกว่านั้น ต่อให้ไอน์สไตน์ก็ยังนึกไม่ออก ว่า ทำอย่างไรถึงถูกใจเธอ เราจึงต้องบอกให้ผู้ชายรู้ว่า ตรงไหนควรแตะ ตรงไหนควรคลึงเค้น เมื่อไร อย่างไร หนักเบาหรือเร็วช้าเพียงใด ควรให้รายละเอียดมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ รับรองว่าเซ็กส์สะบึมแน่นอนค่ะ


6. ผู้หญิงมักวิตกเกินกว่าเหตุเมื่อผู้ชายขอลองของใหม่ แหม คุณผู้หญิงขา มันก็เหมือนกับว่า เขากินก๋วยเตี๋ยวมาสองอาทิตย์แล้ว วันนี้ขอเปลี่ยนเป็นข้าวผัด ฝ่ายหญิงก็เกิดจิตตก โวยวายว่า เขาเบื่อรสมือของเราแล้วหรือไร เขาหมดรักเราแล้วใช่ไหม อารมณ์อยากเปลี่ยนแปลงลองของใหม่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเสียหาย ถือเป็นการเติมสีสันให้ชีวิตรัก ไม่ใช่เรื่องควรหวั่นวิตก เป็นธรรมชาติของมนุษย์ อย่าคิดมากค่ะ


ผู้ชาย จำนวนหลายล้านปฏิเสธ เซ็กส์เพราะความเครียด ผลการวิจัยพบว่า ผู้ชายร้อยละ 15 ยอมรับว่า ปัญหาสุขภาพจิตมีผลอย่างรุนแรงต่อความต้องการทางเพศ



พอกหน้า รักษาสิว

พอกหน้ารักษาสิว


พอกหน้ารักษาสิว (ชีวจิต)

พูดถึงสิว ถึงแม้จะเป็นแค่เม็ดจิ๋ว ๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องขี้ปะติ๋วที่จะมองข้ามได้ เพราะเล่นเอาหนุ่ม ๆ สาว ๆ หลายคนถึงกับหมดความมั่นใจไปเลยทีเดียว

สาเหตุใหญ่ของการเกิดสิว คือ การอุดตันของไขมันส่วนเกินบนใบหน้า บางคนมีปัจจัยเรื่องพันธุกรรมหรือฮอร์โมนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อย่างไรก็ตาม การควบคุมการเกิดสิวกรือการรักษาสิวให้ได้ผลอย่างชะงัดนั้น คุณควรใส่ใจตั้งแต่เรื่องของอาหาร อารมณ์ การพักผ่อน การออกกำลังกาย รวมถึงการดูแลทำความสะอาดด้วย

นอกจากนี้ หากว่าคุณพอจะมีเวลาว่างสักหน่อย ลองมาทำมาสก์พอกหน้ารักษาสิวใช้เองดูสิคะ ตามสูตรข้างล่างนี้

สูตรที่ 1

ล้างหน้าให้สะอาด ใช้ไข่แดงทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น ไข่แดงมีโปรตีนและกรดไขมันมาก จะช่วยให้หน้าคุณสดชื่น และขจัดสิ่งอุดตันรูขุมขนได้

สูตรที่ 2

สำหรับคนที่มีผิวหน้ามันโดยเฉพาะ ล้างหน้าให้สะอาด แล้วใช้น้ำผึ้งผสมกับข้าวโอ๊ตทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นเช่นกัน ข้าวโอ๊ตมีสรรพคุณพิเศษในการช่วยดูดซับความมันจากผิว

สูตรที่ 3

มะเขือเทศหรือน้ำมะนาวเป็นสิ่งที่ดีมากต่อผิวคุณ ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปไม่ให้อุดตันรูขุมขน อันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ล้างหน้าให้สะอาด บีบมะนาวลงในถ้วยเล็ก ๆ ชุบด้วยสำลี แล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้า 2-3 ครั้ง รอจนน้ำมะนาวแห้ง ประมาณ 10 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด หากคุณมีผิวที่ค่อนข้างอ่อนบาง ควรผสมน้ำเปล่าในน้ำมะนาวเพื่อให้เจือจางลง แต่ถ้าจะใช้มะเขือเทศก็ให้ฝานเป็นแว่น ๆ หนาพอประมาณ นำมาถูให้ทั่วใบหน้า เมล็ดเล็ก ๆ ในผลมะเขือเทศนั่นแหละที่ช่วยขัดผิวให้คุณ

ทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน จะสังเกตเห็นความมหัศจรรย์ใน 14 วัน


เรื่องราวผู้หญิง ความสวยงาม แฟชั่น ความรัก มากมาย คลิกเลย

คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่ค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ผู้หญิงในวัยไหน ควรตรวจอะไร?

อายุ 10-29 ปี

ตรวจภายในและมะเร็งปากมดลูก

หมายถึง การตรวจระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรีและการตรวจหามะเร็งปากมดลูกหรือ แป๊ป เทสต์ (Pap Test) ช่วงนี้เป็นวัยเจริญพันธ์ตามธรรมชาติ การตกไข่ การมีประจำเดือน การมีเพศสัมพันธ์เริ่มและมีมาก และปัจจุบันพบว่าโรคทางเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะเรื่องของการติดเชื้อ HIV (Human Papiloma Virus) เป็นสาเหตุก่อให้เกิดมะเร็งที่ปากมดลูก ดังนั้น ไม่ว่าจะอายุน้อยแค่ไหน แต่เมื่อไรที่มีเพศสัมพันธ์หรืออายุ 18 ปีขึ้นไป แม้ว่าจะไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น ควรเริ่มตรวจภายในและมะเร็งปากมดลูกได้แล้ว การตรวจนั้น หมอจะดูที่อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกก่อนว่ามีปัญหาอะไรบ้างไหม ไม่ว่าจะเป็นผื่นแดงหรือแผลใด ๆ จากนั้นจะใช้เรื่องมือที่คล้ายปากเป็ดยาว ๆ ขนาดไม่ใหญ่ใส่เข้าไปในช่องคลอดเพื่อจะได้มองเห็นผนังช่องคลอดหรือปากมดลูก แล้วหมอจะเอาไม้แบน ๆ และแปรงเล็ก ๆ เขี่ยเอาเซลล์ที่ปากมดลูกและรูปากมดลูกออกมาป้ายบนแผ่นกระจกใสแช่น้ำยา เพื่อส่งไปให้หมอทางพยาธิวิทยาดูว่ามีความผิดปกติในทางที่จะเปลี่ยนไปเป็นมะเร็งหรือไม่ จากนั้นก็จะเอาเครื่องมือออกแล้วหมอจะเอานิ้วมือสอดเข้าไปในช่องคลอด และเอาอีกมือกดที่หน้าท้องเพื่อช่วยคลำขนาดของมดลูก รังไข่ ท่อนำไข่ ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ โดยปกติแล้วควรตรวจภายในอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

การตรวจวัดความดันโลหิต

ปกติทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาลจะต้องวัดความดันโลหิตอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่เคยเจ็บป่วยอะไรเลย ทุก ๆ 2 ปี ควรจะวัดความดันโลหิตสักครั้ง ซึ่งไม่ควรเกิน 140/90 มม./ปรอท แต่ถ้าเป็นคนน้ำหนักมากหรือมีใครในครอบครัวที่มีความดันโลหิตสูงอยู่ ควรวัดปีละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย

ตรวจคอเรสเตอรอล

หากมีระดับคอเรสเตอรอลสูงจะเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง ดังนั้น ถ้าอายุ 20 ปีขึ้นไป ควรตรวจหาคอเรสเตอรอล ทุก ๆ 5 ปีเป็นอย่างน้อย โดยการเจาะเลือดไปตรวจ
ตรวจผิวหนัง

ถ้ามีไฝขรุขระหรือผิวมีสีแตกต่างไป ควรให้แพทย์ช่วยดูแลให้อย่างน้อยทุก ๆ 3 ปี แต่ถ้ามีลักษณะเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะใหญ่ขึ้นหรือสีเปลี่ยนก็ตาม ควรรีบไปพบแพทย์ทีนทีเพราะอาจเป็นเรื่องของมะเร็งที่ผิวหนัง

ตรวจเต้านม

ควรตรวจด้วยตนเองอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ในช่วงที่เต้านมไม่คัดตึงคือช่วงปลายสัปดาห์ที่ 2 ของการมีรอบเดือน เพราะจะทำได้ง่ายและตรวจสอบได้ถูกต้องแน่นอนว่ามีก้อนเนื้อผิดปกติอะไรในเต้านมตนเองหรือไม่ แล้วเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป ค่อยไปให้หมอช่วยตรวจเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรแน่ ๆ ทุก ๆ 3 ปี เป็นอย่างน้อย

ตรวจหาโรคทางเพศสัมพันธ์

ควรพบแพทย์เพื่อเจาะเลือดหาโรคที่เกิดจากเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี และการติดเชื้อไวรัส เริม หนองใน ไวรัส HPV Chlamydia เป็นต้น

ตรวจฟัน

โดยปกติระยะเวลาที่ฟันเริ่มเสียจนกระทั่งเกิดความเสียหายขึ้นจะไม่เกิน 6 เดือน ดังนั้น จึงควรตรวจสุขภาพฟันทุก ๆ 6 เดือน เป็นอย่างน้อย

ตรวจตา

ถ้าปกติไม่มีปัญหาอะไรก็ควรตรวจวัดสายตาทุก 3 ปี เป็นอย่างน้อย แต่ถ้ามีความปกติไม่ว่าจะสายตาสั้น ตาเอียง ก็ควรตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง


อายุ 30-49 ปี

เอกซเรย์เต้านม (Mammogram)

การตรวจหามะเร็งที่เต้านมได้พบตั้งแต่ยังเล็ก ๆ อยู่นั้นจะทำให้การรักษาได้ผลดี การทำ x-rays Mammogram จะทำให้พอแยกแยะได้ว่าก้อนที่เต้านมที่เกิดขึ้นมีลักษณะในทางที่บ่งชี้ว่าน่าจะเป็นก้อนเนื้อร้ายหรือไม่ และเราสามารถที่จะพบมันได้ แม้ว่าก้อนจะยังเล็กจนคลำด้วยมือพบได้ยากก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลสรุปที่แน่นอนว่า ควรทำ Mammogram บ่อยเพียงใด บางสถาบันบอกว่าถ้าอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ควรทำทุก 1-2 ปี บางสถาบันบอกว่าควรทำทุก 1 ปี โดยเฉพาะถ้ามีประวัติมะเร็งที่เต้านมในครอบครัว (การทำ Mammogram นั้น จะใช้แผ่นพลาสติกใสบีบรัดเต้านมให้แผ่แบนมากที่สุดรวมถึงท่อน้ำเหลืองที่ใต้รักแร้ด้วย โดยทำในท่าขนานกับลำตัว และตั้งฉากแนวนอนกับลำตัว เพื่อจะได้เห็นทุกระนาบโดย x-rays และใช้เครื่องเสียงความถี่สูง (Ultrasonogram) เพื่อช่วยตรวจหาก้อนเหล่านั้นอีกด้วย ในการทำต่อเนื่องประกอบกันตอนบีบเต้านมเพื่อ x-rays นั้น อาจรู้สึกเจ็บบ้างแต่ก็ไม่มากจนทนไม่ได้) และเพื่อให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุดและรู้สึกเจ็บน้อยที่สุด ควรทำตอนที่เต้านมไม่คัดตึง คือ ช่วงปลายสัปดาห์ที่ 2 ของรอบเดือน นับจากประจำเดือนมาวันแรก

ตรวจหาเบาหวาน

อาจตรวจได้ทุก ๆ ปี และเพื่อให้ได้ผลตรวจแน่นอน ควรงดน้ำและอาหารก่อนเจาะเลือดตรวจอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ถ้ามีน้ำหนักมากหรือมีประวัติการเป็นเบาหวานในครอบครัว หรือถ้าอายุ 40 ปีขึ้นไป ก็ควรตรวจปัสสาวะปีละครั้งเป็นอย่างน้อย

ตรวจภายในและมะเร็งปากมดลูก

ประจำเดือนผิดปกติหรือการปวดท้อง ปัสสาวะบ่อย อาจเป็นตัวบ่งชี้ว่าทีความผิดปกติที่มดลูกได้ ควรบันทึกการมีประจำเดือนไว้เสมอว่า วันแรกของทุกครั้งคือเมื่อไหร่ มากี่วัน ใช้ผ้าอนามัยวันละกี่ผืน มีเลือดเป็นก้อนหรือไม่ เพื่อความง่ายและถูกต้องแม่นยำในการค้นหาสาเหตุของโรค ควรตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

ตรวจทวารหนัก
อายุหลัง 40 ปี ทุกครั้งที่ตรวจภายในก็ควรตรวจทางทวารหนักด้วย เพื่อดูว่ามีสิ่งผิปกติใด ๆ บ้าง การตรวจนั้นแพทย์จะเอานิ้วสอดเข้าไปในรูทวารหนักสูงขึ้นไปเหนือหูรูดทวารหนักเพื่อคลำดูผนังของมันรวมทั้งเนื้อเยื่อชิ้นระหว่างผนังช่องคลอดและทวารหนักด้วย โดยเฉพาะถ้ามีประวัติการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัวก็ควรบอกแพทย์เพื่อตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อค้นหาแต่เนิ่น ๆ

ตรวจคอเรสเตอรอล

ระหว่างอายุ 40-60 ปี ผู้หญิงมักจะมีระดับคอเรสเตอรอลสูงขึ้นจากระดับเดิมได้ง่ายขึ้นเพราะการขาดเอสโตรเจนในช่วงหลังจากหมดประจำเดือน ดังนั้นควรตรวจเลือดหาระดับคอเรสเตอรอลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

ตรวจผิวหนัง

หลังจากอายุ 40 ปี ควรตรวจผิวหนังปีละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อยเพื่อค้นหามะเร็งผิวหนังที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะกับผิวสีคล้ำผิดปกติหรือไฝที่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตรวจฟัน
อายุเกิน 35 ปีขึ้นไป อาจเกิดโรคเหงือกบางชนิดได้บ่อยขึ้นจึงควรตรวจฟันอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง

ตรวจฝากครรภ์

ในกรณีตั้งครรภ์ การตรวจฝากครรภ์เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ได้ลูกที่มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์ที่สุด และแม่มีภาวะแทรกซ้อนน้อยที่สุด โดยเฉพาะถ้าแม่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการดูโครโมโซมของลูกว่าผิดปกติใด ๆ หรือไม่ด้วย ซึ่งมักจะทำเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 17 สัปดาห์ โดยการเจาะน้ำคร่ำเพื่อเอาเซลล์เด็กออกมาหาโครโมโซม การเจาะน้ำคร่ำอาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้บ้าง แต่แพทย์จะใช้อัลตร้าซาวด์ช่วยนำทางให้เห็นถึงการแทงเข็มในจุดที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้เกิดอันตรายน้อยที่สุด

ตรวจตา

ปัญหาสายตามักเกิดขึ้นในวัย 40 ปีขึ้นไป เมื่อเริ่มอ่านหนังสือไม่เห็นในระดับความห่างเท่าเดิม เมื่อเริ่มมีปัญหาควรตรวจได้เลย แต่ถ้าไม่มีปัญหา ควรตรวจทุก ๆ 2 ปีเป็นอย่างน้อย



อายุ 50-69 ปี

ตรวจหัวใจ

โดยมากผู้หญิงจะเริ่มเป็นโรคหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงก็หลังจากหมดประจำเดือน ซึ่งมีเอสโตรเจนลดลง จะทำให้สมดุลของไขมันในเลือดผิดไปจากเดิม ทำให้เส้นเลือดอุดตันได้ง่ายขึ้น ดังนั้น จึงควรดูระดับคอเรสเตอรอลในเลือด วัดความดันโลหิตและตรวจคลื่นหัวใจ (Electric Cardiogram) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

ตรวจหามะเร็งลำไส้

ทุกปีเป็นอย่างน้อย ควรตรวจอุจจาระว่ามีเลือดปนเปื้อนออกมาหรือไม่ และตรวจทางทวารหนักด้วยนอกจากนี้ควรตรวจ Sigmoidoscopy คือ การเอากระบอกเล็ก ๆ มีรูเปิดบนร่างสอดเข้าไปในทวารหนักถึงลำไส้ส่วนล่างสุด เหนือหูรูดขึ้นไปเพื่อดูผนังลำไส้ว่าผิดปกติใด ๆ บ้าง ควรทำทุก 5 ปี และบางกรณีต้องทำ Colonoscopy ด้วยการส่องกล้องผ่านเข้าทางทวารหนักเพื่อดูตลอดแนวของลำไส้ใหญ่ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่

ตรวจ Mammogram

ถ้าอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป ทุก ๆ สถาบันมักจะแนะนำเหมือน ๆ กันว่าควรทำ Mammogram ทุก ๆ ปี

ตรวจภายในและมะเร็งปากมดลูก

ถึงแม้จะลดหรือเลิกการมีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว แต่ควรตรวจภายในทุกปี ปีละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย

ตรวจความหนาแน่นของกระดูก

ผู้มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป มากกว่า 50% พบว่า กระดูกเสื่อมสลาย ผุกร่อน พรุนบางลง ทำให้กระดูกหักง่ายและต่อติดยาก การวัดความหนาแน่นทางกระดูกมักจะทำ 3 จุดโดยการ x-rays ที่กระดูกข้อสะโพก กระดูกสันหลังและข้อมือ และถ้าพบว่ากระดูกบางก็จะได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนหรือยาอื่น ๆ เพิ่มแคลเซียม และการออกกำลังกาย ควรตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกอย่างน้อย 1 ครั้งในวัยเริ่มหมดประจำเดือน
ตรวจการได้ยินเสียง

การได้ยินเสียงจะลดลง ในคนอายุเกิน 50 ปีขึ้นไปและเป็นการยากที่จะหยุดยั้งการเสื่อมสลายของระบบนี้ แต่แพทย์จะช่วยให้ใช้เครื่องขยายเสียงเพื่อลดภาระการทำงานหนักของหูชั้นกลางได้

ตรวจตา

ต้อกระจกและต้อหินมักจะเป็นสาเหตุของการมองไม่เห็นในคนอายุนี้ ควรตรวจสายตาทุก 1-2 ปี และเมื่ออายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ควรตรวจทุกปี เพื่อช่วยให้ความเสื่อมของสายตาช้าลงและลดการเกิดปัญหาต่อเนื่องได้

เรียบเรียงจากบทความของ พ.ญ.นิศานาถ ธนะภูมิ

วิธีฝึกสมอง แบบ หนูดี

1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์
เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน
ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที
เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Thet a ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า
ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื ่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ
ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ
สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์
ยิงฟันยิ้ม เศร้า รูดซิบปาก